ถาม : พอไปปฏิบัติธรรม ทำความดีต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นว่าในจิตใต้สำนึกยังมีตะกอน มีเครื่องที่ยังค้างคาอยู่ และการที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส จะเห็นทางมากขึ้นครับ แต่ก็ยังเห็นว่าใต้สำนึกบางอย่าง เรายังคงเข้าไปเล่นตามบทบาทที่เราเคยได้ทำเอาไว้ จะเล่นได้แต่ขอให้รู้ทันก็แล้วกัน เหมือนตัวเรามีของคู่มาให้เราเห็นอยู่ ธรรมะที่เราจะไปล้างจิตใต้สำนึกของเรา ที่ซ่อนอยู่ข้างใน สังเกตว่าถ้าผมปฏิบัติธรรมดา ไม่ได้มีหลักความเพียรทำต่อเนื่อง การที่จะเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น เป็นไปได้ยากเหมือนกัน
ตอบ : ยากเพราะถึงเวลากิเลสก็กลบไว้หมด ส่วนที่เราว่ามานั้นเป็นอนุสัยกิเลส เป็นส่วนที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เหมือนกับตะกอนใต้น้ำ อย่างเช่น กามราคานุสัย อนุสัยในด้านของกามราคะ อวิชชานุสัย คือ อนุสัยในส่วนของอวิชชา คือความที่เรารู้ไม่ครบ รู้ไม่หมด
ในเมื่อเราเห็นหน้ากิเลสชัดเจน เราก็เลือกได้ เราเลือกว่าจะให้นิ่ง หรือจะให้ขุ่น ถ้ายังไม่สามารถเก็บกวาดให้สะอาดได้ ก็พยายามให้นิ่งให้มากที่สุด เพื่อความผ่องใสของเรา จะได้อยู่ดีมีสุข ไม่อย่างนั้นถ้าก่อกวนขึ้นมาแม้แต่เล็กน้อย ด้วยความที่จิตละเอียดมาก อารมณ์กระทบก็จะหนัก เหมือนกับว่ายังถูกแผดเผา ยังเร่าร้อนอยู่
ถาม : ผมพูดถึงของเล่นบ้างก็แล้วกันนะครับ ผมไปภาวนาที่กวางเจามา เวลาเราสวดมนต์ในใจ เราสามารถสวดให้เบาก็ได้ ให้ดังก็ได้ใช่ไหมครับ ? ให้กังวานออกไปไม่มีประมาณก็ได้
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา ลักษณะเหมือนกับใช้เสียงปกตินี่แหละ แต่เป็นเสียงในใจ
ถาม : แล้วเวลาเรากำหนดร่างกายออกไปไหว้พระ เรากำหนดร่างเดียวก็ได้ หลายร่างก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้
ถาม : ขึ้นอยู่กับกำลังใจเราไปแหย่ไว้ตรงนั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่
ถาม : แต่ในนิมิตร่างเล็กที่เรามองเห็นองค์พระ ก็จะมองเห็นองค์พระในลักษณะที่แตกต่างจากตาเนื้อของเรา
ตอบ : ต่างมาก เพราะสิ่งที่เราเห็นตอนนั้นเป็นจริง คือ เป็นบุญเป็นบารมีของพระองค์ท่านจริง ๆ ถ้าใช้ตาเนื้อจะเห็นแค่เปลือก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-04-2011 เมื่อ 01:46
|