ส่วนตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งนั้นก็คือ กิเลสใหญ่ที่เรียกว่าสังโยชน์ เครื่องร้อยรัดให้เราติดอยู่ในวัฏสงสาร มีอยู่ทั้งหมด ๑๐ ประการด้วยกัน เราเอาแค่ ๓ ประการแรกก็พอ
สังโยชน์ข้อที่ ๑ คือ สักกายทิฐิ ความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา มีตัวกูของกูอยู่อย่างเต็มที่ เราพิจารณาดูอย่างไม่เข้าข้างตนเองแล้ว เห็นว่าสังโยชน์ข้อนี้ของเรา ยังยึดครองจิตใจของเราอยู่หรือไม่ ? ถ้ายังยึดครองจิตใจของเราอยู่ ก็ต้องรีบสลัดตัดทิ้งไปให้เร็วที่สุด เพื่อที่เราจะได้ก้าวล่วงเข้าไปสู่ความดีให้มากกว่านี้
สังโยชน์ข้อที่ ๒ คือ วิจิกิจฉา หน้าตาเหมือนกับวิจิกิจฉาในส่วนของนิวรณ์ ๕ คือความลังเลสงสัย ไม่เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อมั่นในหลักปฏิบัติที่หลักที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน ในเมื่อมัวแต่โลเลอยู่ ไม่เริ่มลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ทราบเสียที เราก็ไม่ได้รับผลที่ควรจะได้อย่างน่าเสียดาย
ถ้าหากว่าสังโยชน์ข้อนี้มีอยู่ในใจของเรา ต้องรีบขับไล่ให้พ้นไป แล้วก็เร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อที่จะได้ก้าวพ้นไปจากเครื่องร้อยรัดตัวนี้
สังโยชน์ข้อที่ ๓ คือ สีลัพพตปรามาส การรักษาศีลแบบไม่จริงไม่จัง รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่ยอมทุ่มเทแม้ด้วยชีวิต การรักษาศีลต้องทำให้ได้ถึงระดับตัวตายดีกว่าศีลขาด ไม่อย่างนั้นแล้ว กำลังใจที่เด็ดขาดไม่พอ ทำให้กิเลสแทรกแฝงเข้ามาได้ง่าย แต่ถ้าเรายอมสละแม้ชีวิต กำลังใจขนาดนั้น เรามีสิทธิ์ที่จะหลุดพ้นได้ เพราะว่าไม่มีอะไรที่เรารักไปยิ่งกว่าตัวตนนี้อีกแล้ว
ในเมื่อร่างกายนี้ ตัวตนนี้เรายังสละละทิ้งได้ ชีวิตนี้เรายังสามารถตัดทิ้งได้เพื่อการปฏิบัติ ก็แปลว่า เราสามารถที่จะหลุดพ้นจากร่างกายนี้ได้ จุดมุ่งหมายของเราก็สามารถที่จะหวังได้ นั่นคือพระนิพพาน
เมื่อทุกคนตรวจสอบตนเอง ไม่ว่าจะโดยอาศัยสิ่งที่ไม่ดี ก็คือนิวรณ์ ๕ หรือสังโยชน์ ๑๐ ก็ดี หรือว่าอาศัยสิ่งที่ดี คือศีล ๕ ศีล ๘ ของเราก็ดี ประเมินตนเองแล้วเรายังเห็นว่าบกพร่อง ก็ต้องเร่งการปฏิบัติให้มาก ประเมินแล้วเราไม่บกพร่อง ก็จำเป็นที่จะต้องเร่งการปฏิบัติเช่นกัน เพื่อก้าวไปสู่จุดหมายคือพระนิพพานของเรา
เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว หากว่าท่านทั้งหลายยังมีลมหายใจอยู่ ก็กำหนดรู้ลมหายใจไป มีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดรู้ในคำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา ก็กำหนดรู้เฉย ๆ ว่าตอนนี้ไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา อย่าไปดิ้นรนอยากให้เป็นอย่างนั้น และอย่าไปดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพอย่างนั้น
เรามีหน้าที่กำหนดรับรู้ไว้เฉย ๆ สภาพจิตจะดำเนินไปตามสมาธิที่ลึกไปตามลำดับนั้นเอง ขอให้ทุกคนตั้งใจกำหนดดู กำหนดรู้ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้รับสัญญานบอกว่าหมดเวลา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๔
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2011 เมื่อ 10:00
|