๔. “เนื่องจาก
กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ กรรมใครก็กรรมมัน ดังนั้นการจะให้
หมดวาระกรรม ก็จะต้องหมดที่ใจของตนเอง โดยอาศัยหลักกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ หาต้นเหตุแห่งกรรมนั้นให้พบ แล้วแก้ไขเสีย
กรรมทุกชนิดเกิดที่ใจก่อนทั้งสิ้น”
๕. “
ในทางปฏิบัติก็อาศัยหลักศีล สมาธิ ปัญญา รักษาศีลจนกระทั่งศีลรักษาจิตเรา ไม่ให้กระทำผิดศีลอีกเป็นอธิศีล ใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัด ตัดข้อที่ ๑-๒-๓ ได้ก็พ้นกรรมที่ต้องตกอบายภูมิ ๔ ได้ถาวร
ต่อไปก็รักษาอารมณ์จิตของเราให้เป็นสมาธิ หรือทรงฌาน จนกระทั่งสมาธิรักษาจิตของเราไม่ให้เกิดอารมณ์ ๒ คือ พอใจ (ราคา,โลภะ) กับไม่พอใจ (ปฏิฆะและโทสะ) เป็นอธิจิต ตัดสังโยชน์ข้อที่ ๔-๕ ได้ ก็พ้นจากการเกิดมีร่างกายในโลกมนุษย์ได้อย่างถาวร ขั้น
สุดท้ายก็ตัดสังโยชน์ที่เหลืออยู่อีก ๕ ข้อ ซึ่งเป็นอารมณ์หลงละเอียดทั้งสิ้น ทั้งหมดรวมลงในข้อที่ ๑๐ คืออวิชชา จุดนี้ต้องอาศัยอธิปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องกองสังขารแห่งกายและแห่งจิต ก็พ้นจากการเกิดเป็นนางฟ้า เทวดา และพรหมอย่างถาวร
จุดที่ต้องไปก็คือพระนิพพานเท่านั้น”
๖. “ให้
ใช้พรหมวิหาร ๔ ให้จงหนัก ใคร่ครวญดูตามที่ตถาคตเคยตรัสสอนมา จงอย่าสนใจจริยาของผู้อื่น กรรมของผู้อื่น ใครเขาทำกรรมชั่วเขาก็ตกเป็นทาสของกิเลส ก็น่าสงสารอยู่แล้ว จงอย่าไปซ้ำเติมเขาจักเข้าตนเอง เพราะจิตเราไปยินดียินร้ายกับกรรมชั่วของเขา เป็นการเบียดเบียนตัวเราเอง สร้างกรรมต่อกรรมให้เกิด มิใช่ตัดกรรม หากเข้าใจจุดนี้การตัดกรรมก็เร็วขึ้น
จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็น
เอาพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักวางอารมณ์ของจิตให้ถูก ถ้ามีความเพียรให้ถูกทางจริง ๆ ไม่ช้าก็หลุดได้ อย่างตอนที่เจ้าเพียรรักษาศีลนั่นแหละ แม้แต่ยุงตัวเล็ก ๆ เจ้าก็ตีเขาไม่ลง ทำร้ายเขาไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ยุงทำประโยชน์อะไรไม่ได้ นี่เขาเป็นคนนะ ยังทำประโยชน์ได้ ถ้าวาระกรรมที่เป็นกุศลให้ผลกับเขาหรือว่ายุงมันด่าไม่เป็นเหมือนคน พวกเจ้าเลยไม่โกรธยุงนานเหมือนโกรธคน คิดทบทวนให้ดี ๆ เพราะ
อารมณ์ปฏิฆะหรือไม่พอใจ ไม่ช่วยให้จิตของพวกเจ้าผ่องใสได้หรอก พยายามคิดเสียให้เข้าใจในธรรมะจุดนี้ แล้วพวกเจ้าจักเข้าถึงธรรมดาแห่งธรรมนี้”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com