ในเมื่อเราไม่ตั้งความปรารถนาว่าจะเกิดมาในโลกที่ทุกข์ยากอย่างนี้ เราไม่ต้องการร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เราหวังความหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน
เราก็ต้องมาทบทวนเครื่องมือที่จะนำพาเราไปสู่พระนิพพานซึ่งได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา ก็ให้ทุกท่านตั้งใจว่า ขณะนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ที่เรานั่งอยู่ ศีลทุกสิกขาบทของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่มีข้อไหนบกพร่อง ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะประคับประคองรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
เมื่อเรามั่นใจแล้วว่าศีลของเราบริสุทธิ์ ก็ตามดูตามรู้ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา เพื่อให้สมาธิตั้งมั่นและทรงตัว เมื่อสมาธิของเราตั้งมั่นทรงตัวไปถึงระดับหนึ่ง เต็มที่แล้ว ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้มากกว่านั้นแล้ว สภาพจิตก็จะคลายออกจากสมาธิเองโดยอัตโนมัติ อาจเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหรือมีระยะเวลาแค่ไม่กี่นาที
เมื่อสภาพใจคลายออกจากสมาธินั้นมา เราต้องรีบหาสิ่งที่ประเทืองปัญญา ให้มองเห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ ของโลกนี้ เพื่อให้ใจมาขบคิดไคร่ครวญ ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ท่านทำมาคือสมาธินั้น จะถูกใจชักนำไปในทางที่ต่ำ เป็นการใช้กำลังสมาธิที่สะสมได้มา ไปฟุ้งซ่านสู่อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง และการฟุ้งซ่านนั้นจะรุนแรงมาก รั้งได้ยาก เพราะว่ากำลังสมาธิที่เราสะสมได้ เอาไปใช้ในเรื่องนั้นเสียแล้ว
เมื่อเรามาคิดก็ให้คิดอยู่ในลักษณะที่ว่า สภาพของร่างกายนี้ก็ดี โลกนี้ก็ดี ตลอดจนกระทั่งวัตถุธาตุสิ่งของต่าง ๆ ก็ตาม มีสภาพของความไม่เที่ยง มีสภาพของความเป็นทุกข์ มีสภาพไม่ใช่ตัวตน ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ หรือว่าจะคิดพิจารณาให้เห็นว่าความทุกข์เกิดจากอะไร แล้วระงับซึ่งสาเหตุนั้นเสีย ความทุกข์ก็ไม่เกิดแก่เรา
หรือว่าพิจารณาตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง คือเห็นความเกิดความดับของทุกสรรพสิ่ง หรือเห็นว่าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ดับสลายไปหมดสิ้น หรืออย่างที่ได้กล่าวไปก็คือ เห็นว่าเป็นทุกข์เป็นภัย เป็นของน่ากลัว เราไม่พึงปรารถนาในร่างกายนี้และโลกนี้อีก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2011 เมื่อ 17:39
|