"...ประธานศาลฎีกาก็ได้กล่าวถึงว่า ในโอกาส ๑๐๐ วันของการสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชชนนี ได้นำเด็ก ๆ เยาวชนเข้าไปกราบถวายบังคมที่พระบรมศพ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พึงทำ เพราะว่าสมเด็จพระบรมราชชนนีท่านเป็นครอบครัวคนเดียว...พูดธรรมดาเท่ากับเป็นคนเดียวที่ข้าพเจ้ามี และท่านได้อบรม ท่านได้สั่งสอนด้วยวิธีต่าง ๆ ที่ยังจำได้ แม้จะเมื่ออายุตั้งแต่ ๕ ขวบ ก็จำได้ว่าท่านทรงสั่งสอนด้วยการพูดและด้วยการกระทำ
เรื่องแรก ตอนนั้นอายุก็คงประมาณ ๕ ขวบ ที่ท่านปฏิบัติ ท่านได้แสดงว่าต้องมีกฎเกณฑ์ หรือต้องมีระเบียบการ และระเบียบการนั้นจะต้องเสมอกัน ต้องมีความเสมอภาค ทุกคนต้องอยู่ในระเบียบ ที่จำได้ ท่านอาจเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือจะเป็นเรื่องที่น่าขัน แต่ว่าจะขอเล่าให้ฟัง เป็นการแสดงถึงความเคร่งครัดในระเบียบของท่าน
เมื่อเด็ก ๆ ท่านก็เลี้ยงเราดี โดยที่มีระเบียบในโภชนาการที่เหมาะสม ท่านก็หาอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ไม่แสลง แต่ก็ต้องมีความเอร็ดอร่อย ฉะนั้นบางครั้งบางคราว ท่านก็ได้หาข้าวหลามซึ่งเป็นอาหารธรรมดา แต่ว่าเป็นอาหารที่อร่อยมาก เอามาให้ มาแจกเด็ก ๆ ก็ปอกไม้ไผ่ที่เป็นที่หุ้มข้าวหลามนั้น แล้วก็ตัด แต่ละคนก็ถือ ๑ แท่ง
แล้วท่านมาบอกว่า ขอแม่กินหน่อย โดยที่เป็นเด็กที่หวงที่เสียดายก็รีบกัดข้าวหลามนั้น เมื่อกัดข้าวหลามแล้ว ท่านมีระเบียบอยู่ว่า เพื่อสุขภาพและความสะอาดใครกัดอะไร เคี้ยวไปแล้ว คนอื่นไม่สมควรที่จะไปกัดซ้ำเพราะว่าไม่สะอาด ท่านก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นั้น ท่านก็ไม่กัด ท่านก็เห็นกัดไปแล้ว
ท่านไม่จนปัญญา แม่ไม่มีจนปัญญา ท่านบิเอาตรงปลายที่กัดถือไว้ แล้วบิต่อไปแล้วก็เสวย ส่วนที่ท่านบิไปแล้วท่านก็มาวางตรงปลายของข้าวหลามของเดิม ท่านไม่ได้ทำผิดกฎ ท่านไม่ได้ทำให้ผิดกฎที่ท่านตั้งเอาไว้
ท่านไม่ได้บอก แต่ว่าเท่ากับสอนว่าผู้มีพระคุณนั้น ถ้าท่านขออะไรไม่น่าจะปฏิเสธท่าน เพราะว่าท่านให้ ไม่ใช่ของเราเป็นของท่านแต่ท่านให้ ให้เรากินของอร่อย ถ้าท่านอยากบ้าง ของเราเราก็ต้องให้
ตอนนั้นจำได้ว่าไม่ได้โกรธ แต่งง งงจริง ๆ ในที่สุดทำให้นึกถึงว่า นี่เราต้องมีความกตัญญูต่อมารดา เพราะว่าท่านได้เลี้ยงเรา ถ้าไม่มีท่าน เราก็ไม่มีชีวิต..."
พระราชดำรัส ในโอกาสที่ท่านประธานศาลฎีกา นำคณะข้าราชการตุลาการ
และคณะผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วประเทศ
เข้าเฝ้า ฯ ทูลเกล้า ฯ ถวายเงิน โดยเด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันพฤหัสบดี ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘