ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 18-02-2011, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,636 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นได้ว่า แค่เรื่องของความทุกข์ทั่ว ๆ ไป คือความหิว ความกระหาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยแค่นี้ ก็สร้างความลำบากทุกข์ยากให้แก่เราจนเหลือที่จะทนแล้ว ถ้าเราเกิดมาใหม่เมื่อไร ก็จะพบแต่ความทุกข์เช่นนี้อีก

เมื่อเราเห็นแล้วว่าร่างกายนี้มีทุกข์มีโทษอย่างนี้ เปรียบเหมือนกับเราเลี้ยงเสือหรือสุนัขที่ดุร้ายเอาไว้ขบกัดตัวเราเอง ถึงเวลาหิวขึ้นมา เราก็ไม่สามารถจะห้ามปรามได้ เพราะว่าจะพาเราปวดท้องปวดไส้ อาจจะถึงขนาดเป็นลมไปเลย ถ้าหากว่าไม่ได้กิน ถ้าอดนานเกินไปก็ถึงตาย

ถ้ากระหายขึ้นมาก็เช่นกัน เมื่อไม่ได้ก็กระวนกระวายอยู่ไม่ได้ ท้ายสุดถ้าหากว่าไม่มีน้ำลงไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เลือดข้นเกินกว่าที่จะเดินไปตามร่างกายได้ อวัยวะภายในต่าง ๆ ก็ล้มเหลว สิ้นชีวิต

ความเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเป็นโรคทั่ว ๆ ไปก็ยังพอที่จะรักษาพยาบาลให้หายได้ แต่ถ้าเป็นโรคร้ายแรง ต่อให้รักษาหมดเงินหมดทองเท่าไร ก็ได้แค่บรรเทาอาการรอวันตายเท่านั้น
ร่างกายเป็นทุกข์เป็นภัยถึงขนาดนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์โทษเวรภัยเช่นนี้ เรายังต้องการอีกหรือไม่ ?

ถ้าเราไม่พึงปรารถนา ก็มีที่เดียวที่จะหลุดพ้นไปได้ ก็คือพระนิพพาน เราก็ต้องถอนความพอใจในการเกิด ความพอใจในการมีร่างกายนี้ ความพอใจและยินดีที่จะอยู่ในโลกนี้เสีย ด้วยอำนาจของศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราสั่งสมอยู่

เมื่อเห็นชัดแล้วว่าร่างกายมีทุกข์มีโทษเช่นนี้ เราพบกันแค่ชาตินี้ชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรเราขอไปที่เดียวคือพระนิพพาน เมื่อกำหนดเป้าหมายของเราได้มั่นคงแล้ว ก็ให้ท่านทั้งหลายกำหนดการภาวนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2011 เมื่อ 12:00
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา