เราจะเห็นได้ว่า แค่เรื่องของความทุกข์ทั่ว ๆ ไป คือความหิว ความกระหาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยแค่นี้ ก็สร้างความลำบากทุกข์ยากให้แก่เราจนเหลือที่จะทนแล้ว ถ้าเราเกิดมาใหม่เมื่อไร ก็จะพบแต่ความทุกข์เช่นนี้อีก
เมื่อเราเห็นแล้วว่าร่างกายนี้มีทุกข์มีโทษอย่างนี้ เปรียบเหมือนกับเราเลี้ยงเสือหรือสุนัขที่ดุร้ายเอาไว้ขบกัดตัวเราเอง ถึงเวลาหิวขึ้นมา เราก็ไม่สามารถจะห้ามปรามได้ เพราะว่าจะพาเราปวดท้องปวดไส้ อาจจะถึงขนาดเป็นลมไปเลย ถ้าหากว่าไม่ได้กิน ถ้าอดนานเกินไปก็ถึงตาย
ถ้ากระหายขึ้นมาก็เช่นกัน เมื่อไม่ได้ก็กระวนกระวายอยู่ไม่ได้ ท้ายสุดถ้าหากว่าไม่มีน้ำลงไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เลือดข้นเกินกว่าที่จะเดินไปตามร่างกายได้ อวัยวะภายในต่าง ๆ ก็ล้มเหลว สิ้นชีวิต
ความเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเป็นโรคทั่ว ๆ ไปก็ยังพอที่จะรักษาพยาบาลให้หายได้ แต่ถ้าเป็นโรคร้ายแรง ต่อให้รักษาหมดเงินหมดทองเท่าไร ก็ได้แค่บรรเทาอาการรอวันตายเท่านั้น
ร่างกายเป็นทุกข์เป็นภัยถึงขนาดนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์โทษเวรภัยเช่นนี้ เรายังต้องการอีกหรือไม่ ?
ถ้าเราไม่พึงปรารถนา ก็มีที่เดียวที่จะหลุดพ้นไปได้ ก็คือพระนิพพาน เราก็ต้องถอนความพอใจในการเกิด ความพอใจในการมีร่างกายนี้ ความพอใจและยินดีที่จะอยู่ในโลกนี้เสีย ด้วยอำนาจของศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราสั่งสมอยู่
เมื่อเห็นชัดแล้วว่าร่างกายมีทุกข์มีโทษเช่นนี้ เราพบกันแค่ชาตินี้ชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรเราขอไปที่เดียวคือพระนิพพาน เมื่อกำหนดเป้าหมายของเราได้มั่นคงแล้ว ก็ให้ท่านทั้งหลายกำหนดการภาวนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงต่อไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2011 เมื่อ 12:00
|