เวทะนาปัจจะยา ตัณหา ในเมื่อเกิดความรู้สึกชอบใจขึ้นมาก็คือกามตัณหา เลือกแต่ที่ตัวเองชอบก็เป็นภวตัณหา ผลักไสในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็เป็นวิภวตัณหา 
  
ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง ในเมื่อมีความอยากทั้งดีและไม่ดี คำว่าอยากดี ก็คืออยากตามสภาพ อยากไม่ดี ก็คือไม่อยากเป็นไปตามนั้น ซึ่งก็คือความอยากนั่นเอง ทำให้เกิดอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น ยึดแล้วเกิดอะไร ? อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ก็เกิดภพคือที่เกิด พอยึดรากก็งอกลงไปแล้ว จึงต้องมีที่ให้เกิด  
  
ภะวะปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีที่เกิด ก็ต้องเกิด ชาติปัจจะยา ชะรามะระณังโสกะปริเทวะทุกขโทมนัสสุปายาสา เกิดมาก็แก่ ทุกข์โศกร่ำไร เศร้าโศกเสียใจ ปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกระทั่งไม่ชอบใจ เป็นต้น 
  
ถ้าเราไล่ตามปฏิจจสมุปบาท เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรามา เพราะความไม่รู้ของเรานั่นแหละ ทุกอย่างจึงได้เป็นอย่างในปัจจุบัน ขณะนี้เราก็ยังรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง และไม่รู้เสียมากกว่า เราก็จะไปสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนแล้วเราไม่รู้จักคิดเอง ? ก็เพราะว่าความมืดบอดของดวงปัญญายังมีมากอยู่ อวิชชายังบดบังอยู่ เราเสียท่ามาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว จะไปคิดอะไรได้ทัน..! 
  
ถาม : ถ้าตอนนี้เราเห็นว่า เกิดความอยากและไม่อยากเกิดขึ้น จำเป็นที่จะต้องสาวกลับขึ้นไปขนาดนั้นเลยหรือครับ ? 
ตอบ : จะสาวกลับไปก็ได้ หรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร แล้วเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตก็จะถอนออกมาเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้มาสายพุทธภูมิโดยตรง ไม่ต้องไปไล่รายละเอียดขนาดนั้นก็ได้ 
  
แค่คบร่างกายนี้ชาติเดียว ต่อไปไม่เอาอีกแล้วก็พอ นาน ๆ อาตมาถึงจะพูดของยากเสียที ปกติขี้เกียจอธิบายปฏิจจสมุปบาท เพราะคนอธิบายเองก็ยังเข้าใจไม่ชัดเลย..!
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-02-2011 เมื่อ 20:28
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |