ธรรม คือ อารมณ์ที่เกิดแก่จิต จิตนั้น คือ ตัวเรา
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ต่อจากเรื่องปริปุจฉาไว้ ดังนี้
๑. “
ธรรม คือ อารมณ์ที่เกิดแก่จิต จิตรู้จักโลกพอ ธรรมที่เป็นสาระย่อมเกิดขึ้นได้อย่างมั่นคง ธรรมที่เกิดจักไม่เจืออารมณ์ติดโลก ความหวั่นไหวในโลกธรรม ๘ ก็จักลดน้อยลงไปตามลำดับ
จนในที่สุดหมดเชื้อคือ ธรรมนั้นพ้นโลกไปได้อย่างถาวร เป็นโลกุตรธรรมเบื้องสูงคือ ถึงธรรมวิมุติอยู่ในจิตคือ ตัวเราที่แท้จริงนี่แหละ”
๒. “เปลือกของโลกที่ห่อหุ้มหมดไป เปลือกเทวดา เปลือกนางฟ้า เปลือกพรหมก็ไม่มีสำหรับจิตดวงนี้ เพราะ
อวิชชาหมด สักกายทิฏฐิหมด จิตนั้นคือตัวเราก็ถึงซึ่งความเป็นสุข คือ พระวิสุทธิเทพผู้พ้นวัฏฏะสงสารอย่างถาวร”
๓. “อนึ่ง ที่เจ้า (เพื่อนผม) ลังเล ไม่แน่ใจว่า ก่อนเกิดเจ้ามาจากไหนนั้น เมื่อคุณหมอถาม จิตแรกที่เจ้าตอบว่า ดุสิต ไฉนจึงไม่เชื่อตามนั้นเล่า”
(ตอบพระองค์ว่า ต้องกราบขอขมา เพราะไปจำสัญญาเก่า ๆ จากครูฝึกมโนมยิทธิว่า ได้ไปเจอท่านปู่-ท่านย่าพระอินทร์ เลยเหมาคิดเอาเองว่า ตนมาจากดาวดึงส์)
๔. “เจ้าเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต หาใช่ดาวดึงส์ไม่ เทวดา-นางฟ้าทุกชั้นต่างมีสิทธิ์พบกับพระอินทร์ท่านได้ ทีหลังอย่าลังเลอย่างนี้อีกนะ”
(ก็นึกสงสัยต่อไปว่า เมื่อลงมาจากชั้นดุสิต ทำไมจึงมาเกิดเป็นผู้หญิง)
๕. “นั่นเป็นกฎของกรรมอย่างหนึ่ง และเป็นเกณฑ์บังคับอย่างหนึ่ง ถ้าเจ้ามาลงเกิดเป็นผู้ชายเยี่ยงนี้นะหรือ จักมีโอกาสบำเพ็ญเพียรเข้าถึงพระนิพพานได้ อย่าว่าแต่สวรรค์เลย มุทะลุดุดันอย่างนี้ ถ้าเป็นผู้ชายก็ฆ่าคนตาย จักต้องลงนรกเสียมากกว่า”
๖. “เจ้าดูแต่พระสูตร มนุษย์ผู้หญิงยังขึ้นไปเป็นเทวดาชั้นดุสิตได้ (เปสการีธิดา) แล้วไฉนเทวดาชั้นดุสิตจักจุติลงมาเป็นมนุษย์ผู้หญิงไม่ได้ เทวดาชั้นดุสิตนั้นส่วนใหญ่บำเพ็ญเพียรเพื่อพระโพธิญาณ หรือเพื่อเป็นพระพุทธบิดาหรือพระพุทธมารดา หรือเพื่อต่อบารมีอันจักให้ถึงซึ่งความเป็นพระอริยเจ้าที่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด คือ พระอรหันต์ เทวดาชั้นนั้นจึงมีสิทธิ์เลือกเพศ เลือกสถานที่ลงมาจุติเพื่อความเหมาะสมในการบำเพ็ญบุญบารมี ตามที่ตนตั้งจิตอธิษฐานไว้นั้น ๆ ซึ่งก็ต่างกับมุมของความชั่ว คือ กฎของกรรมในด้านอกุศล ซึ่งบังคับให้สัตว์ผู้ทำชั่วละเมิดศีล ละเมิดธรรมต้องไปจุติในอบายภูมิ ๔ ตามวาระกฎของกรรมนั้น ๆ”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com