๕. “
ก็กิเลสมันยังไม่หมด จะตัดให้มันดับสนิทได้อย่างไร เหมือนอย่างกับเอ็งยังมีร่างกายอยู่นี่ ต้องกินอาหารเลี้ยงร่างกายอยู่ มันก็ต้องปวดท้องขี้อยู่นี่ มันก็ทุกข์อยู่นี่ ปวดท้องขี้แล้วก็ต้องถ่ายขี้ทิ้งไป ทุกข์เกิดแล้วก็ระบายทุกข์ทิ้งไป มันซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่นี่ตลอดเวลาที่ยังมีร่างกาย
กิเลสก็เหมือนกัน มันจรเข้ามาในจิต ไอ้จิตมันชั่วคบกิเลสอยู่วันยันค่ำ คืนยันรุ่ง มันก็ทุกข์แต่เมื่อรู้ว่าทุกข์ เหมือนเรารู้ว่ากำลังปวดท้องขี้ จิตมีกิเลสแล้ว ก็ระบายทุกข์มันทิ้งไป ขอแต่เพียงให้รู้เท่าทันความทุกข์อันเกิดจากกิเลสเท่านั้น ถ้าไม่โง่จนเกินไป ก็จะรู้ว่าทุกข์มันเกิดแล้วจากกิเลส จิตมีอารมณ์เศร้าหมอง อันเกิดจากความโกรธ โลภ หลงเข้าครอบงำจิต มันเป็นทุกข์ อาการมันบอกเหมือนกับเรากำลังมีอาการปวดท้องขี้นี่แหละ เมื่อรู้เท่าทันก็ระบายมันออกไป ของเหม็นจะเก็บเอาไว้ทำไม ความเศร้าหมองของจิตจะเก็บเอาไว้ทำไม”
๖. “ร่างกายยังมีก็ยังต้องขี้บ่อย ๆ กินอาหารมากเท่าไหร่ก็ต้องขี้มากเท่านั้น กิเลสยังมีก็เช่นกัน มีมากเท่าไหร่ก็ต้องระบายมันทิ้งไปเท่านั้น”
๗. “
คนหมดร่างกายเลิกขี้ได้ คนหมดกิเลสก็หมดทุกข์ เลิกขี้ เลิกละได้เหมือนกัน คิดให้เป็นสิโว้ย เด็กโง่คบกิเลสมาตั้งกี่แสนอสงไขยกับแล้วเรา อยู่ ๆ จะให้ตัดกิเลสลงในขณะจิตเดียวได้หรือ ถ้ากำหนดจิตตัดกิเลสได้ในทุก ๆ ขณะจิตไม่มีเผลอ เอ็งก็เป็นพระอรหันต์ไปแล้วสิ แล้วเวลานี้เอ็งได้เป็นหรือเปล่า ก็เปล่าอีกนั่นแหละ คิดถึงความจริงเอาไว้ให้มาก อย่าท้อถอย เป็นนักมวยที่ไม่ทันขึ้นเวทีชก ยกมือยอมแพ้เขาตั้งแต่นอนอยู่ในมุ้ง อย่างนี้มันใช้ไม่ได้นะ” (
ก็ตอบว่า ลูกจะพยายาม) “เอาให้มันจริง ไม่ใช่จะพยายาม”
(หมายเหตุ คำสอนทั้ง ๓ ตอนนี้ ท่านเมตตาสอนไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๘ พ.ค. ๒๕๓๗ คือ ๑๔ ปีมาแล้ว)
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com