ตายน้ำตื้น (ตอนที่สอง)
คืนแรกของวันแรกที่ออกจากงาน กระผมเข้าไปวัดฉลอง เพื่อนั่งสมาธิขอบารมี พระรัตนตรัย หลวงพ่อแช่มวัดฉลองเป็นที่พึ่งสงบสติความฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานาในจิตใจ กำลังเคลิ้ม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
"พี่หนูอยากลาออกพี่ หนูไม่ไหวแล้ว...............ต่าง ๆ นานา สารพัด" เสียงและข้อความมันบ่งบอกถึงความทุกข์ของผู้กล่าวอยู่มาก น่าสงสาร แค่นี้หรือชีวิตคนเรา สุข ๆ เหงา ๆ เศร้า ๆ อะไรของมันวะ
สรุป
"พี่ช่วยได้เท่านี้แหละ ไปคิดเองนะ คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวคุณเอง" (น้องที่อยู่คนละแผนก แต่เคยเป็นลูกน้องเก่าผมมาก่อน)
วันที่สองของคนตกงาน
(เฮ้ย ๆ ออกอย่างสง่างามโว้ย) วันนี้ฟุ้งหนักกว่าวันแรก ใจมันกระเจิง มันเป็นบ้าอะไรของมันก็ไม่รู้ มันวิตกกังวล หนัก ๆ ไม่สบายตัว ไม่ได้การณ์แล้ว เห็นทีจะเสียทีแก่ข้าศึก
ตกเย็นวันนั้น ตั้งใจขึ้นไปกราบหลวงพี่อย่างน้อยที่สุด ไปให้ถึงท่านก่อน ก่อนที่มันจะฟุ้งหนักไปกว่านี้ พอไปถึงประตูศาล เห็นประตูปิดใส่กลอนจากด้านในอยู่ ก็รู้ตามปกติ ท่านกำลังตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยตามกิจวัตรประจำวันของท่าน
กระผมตั้งใจเดินจงกรมตามถนนหน้าศาลาที่ลาดชัน เพราะเป็นทางขึ้นเนินเขา.......ฆ่าเวลา รอหลวงพี่ท่านเมตตาเปิดประตูให้ แรกก็เดินไปเดินมา หลัง ๆ เริ่มสงบ แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเดินจงกรมหน่อย ตั้งใจอยู่กับความสงบนั้น จนรู้สึกผ่อนคลาย จิตสบาย มันโล่งหายใจหายคอสะดวก พยายามจับความรู้สึกนั้นแบบสบาย ๆ ขอบารมีพระ
"ขอให้ลูกรู้คำตอบด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า ว่าทำไมการเดินจงกรมในครั้งนี้ ถึงได้สงบระงับยิ่งนัก" เสียงตอบมาในใจตัวเองว่า
"เพราะเธออยู่ในที่อันสงบ จิตของเธอจึงสงบ"