อานิสงส์ของทานบารมี
เรื่องทานบารมีนี้มีรายละเอียดอยู่มาก หากพระท่านไม่เมตตาสอนให้รู้ ก็คงรู้ไม่ได้ หลวงพ่อฤๅษีท่านจึงมีเมตตามาสอนให้ความสำคัญ ดังนี้
๑. “
จงอย่าไปบังคับใครเขาให้ทำบุญ งานกวาดวัดก็เป็นบุญ ใครทำใครได้
อย่าไปบังคับเขา จะเป็นการทำบุญผสมบาป คือ ทำอย่างไม่เต็มใจ จะได้ผลอย่างนางปัญจะปาปา”
๒. “ให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ท่านไม่เคยบังคับใครให้ใส่บาตร ให้ใครทำบุญหรือบังคับใครให้ปฏิบัติตาม ให้
ดูใจของเราเองดีกว่า ทำกำลังใจให้เต็ม ทำได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น รักษากำลังใจในการทำความดีให้มั่นคง แล้วจะรู้ผลความดีที่เราทำไว้ในเขตพระพุทธศาสนานั้น มีอานิสงส์ขนาดไหน ถ้าขันธ์ ๕ พัง จิตเข้าสู่พระนิพพานแล้วจะเห็นผลชัด”
(ก็นึกสงสัยว่า เป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมจึงติดอานิสงส์กันอีก)
๓. “ท่านไม่คิด ไม่ติดแล้วก็จริงอยู่ แต่ความจริงอานิสงส์แต่ละองค์ต่างกัน ตรงที่ท่านบำเพ็ญบารมีมาไม่เท่ากัน จงดูวิมานของพ่อซิ มี ๓ หลัง บำเพ็ญบารมีมา ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป รวมกันแล้วยังไม่เท่าวิมานของสมเด็จองค์ปฐมหลังเดียว อย่าลืม พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ยังบำเพ็ญบารมีมาไม่เท่ากัน ๔-๘-๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป ดังนั้น
อานิสงส์ของการบำเพ็ญบารมีจะเห็นได้ชัดที่บนพระนิพพาน พระอรหันต์สาวกแต่ละองค์ก็เช่นกัน เมื่อบำเพ็ญบารมีมาไม่เท่ากัน วิมานและความเป็นทิพย์ก็ยังต่างกัน ที่เท่ากันคือ กิเลสหมดเหมือนกัน แต่ผลของบารมีที่บำเพ็ญมาไม่เท่ากัน ผลที่ได้รับก็ต่างกัน”
(นี่หลวงพ่อท่านอธิบายเรื่อง ทานบารมีเท่านั้น บารมีอื่น ๆ อีก ๙ บารมีก็แบบเดียวกัน)
๔. “เวลาพวกเอ็งมโนมยิทธิขึ้นไปบนพระนิพพาน จะเห็นรัศมีฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็ต่างกันชัดเจน นั่นแหละคือ อานิสงส์ของการบำเพ็ญบารมีที่ต่างกัน”
๕. “เพราะฉะนั้น จงอย่าบังคับใครให้เขาทำงานบุญหรือทำบุญ เพราะ
การบังคับให้เขาทำ กำลังใจเขาไม่เต็มใจ ทำบุญมันก็ได้ไม่เต็ม”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com