จิตหมอง ภาพนิพพานก็หมอง 
 
  
สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ดังนี้
 
๑.    “
อย่าลืม จิตหมองสภาพพระนิพพานก็หมองไปด้วย จิตผ่องใสเท่าใด มโนมยิทธิจักแจ่มใสขึ้นเท่านั้น เพราะอารมณ์เศร้าหมองนั้นเป็นกิเลส เพียงแค่จิตมีกังวลเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ความแจ่มใสที่สัมผัสด้วยใจก็พลอยเศร้าหมองไปด้วย นี่เป็นธรรมดาของการปฏิบัติธรรมในหมวดนี้นะเจ้า”
 
๒.    “อย่าลืม 
อารมณ์ที่กังวลก็คือ วิตกจริต ที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง ดังนั้นเมื่อปัญหาผ่านไป จิตก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง”
 
๓.    
“การสร้างทานบารมีในชาติสุดท้ายของเจ้า ต้องทำกำลังใจให้เต็ม อย่าหวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากทำเพื่อพระนิพพานจุดเดียว”
 
๔.    “คุณหมอก็เหมือนกัน ทำกำลังใจให้เต็มไว้เสมอในการให้ธรรมทาน 
ผู้รับจักเต็มกำลังใจรับหรือไม่ ทำได้หรือไม่ได้ก็เรื่องของเขา แต่ผู้ให้สมควรรักษากำลังใจให้เต็มไว้เสมอ ๆ อย่างน้อย ๆ 
เพื่อรักษาความเลื่อมใสศรัทธาของท่านผู้ฟังเข้าไว้ เขาจักได้มากหรือน้อยก็ตาม สิ่งที่แน่ ๆ คือ ให้เขามีความศรัทธาในพระธรรม”
 
๕.    
“การจักสอนให้ตรงตามจริต-นิสัยและกรรมของผู้ฟังนั้น มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทำได้ ดังนั้น 
จักต้องใช้หลักพุทโธ-ธัมโม-สังโฆ อัปปมาโณ ก่อนจักพูด จักสอนให้ขอบารมีของพระรัตนตรัยครอบคลุมกาย วาจา ใจเสียก่อนทุกครั้ง และอย่าลืมอักขาตาโร ตถาคตาด้วย ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้แนะ การปฏิบัติผู้รับฟังจักต้องใช้ความเพียงเร่งรัดให้เกิดมรรคผลด้วยตนเอง จึงจักเป็นของจริง”
 
๖.    “ปัญหาทางโลกไม่มีใครแก้ไขได้หมดสิ้นหรอก 
พยายามคิดให้ลงตัวธรรมดาเข้าไว้ จิตจักได้เป็นสุข”
 
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗ 
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
 
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ 
www.tangnipparn.com