พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีการเป็นคนดีก็ไปขัดผลประโยชน์ของคนอื่น จึงจำเป็นต้องมีคนดีประเภทพระโพธิสัตว์ เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเพื่อความสุขของคนส่วนรวมแล้ว ท่านสละได้แม้แต่ชีวิตของตนเอง
เพื่อความสุขของส่วนรวม ท่านยอมแม้กระทั่งต้องลงนรก อย่างเช่น การที่ต้องออกศึกออกสงคราม ไปรบราฆ่าฟันเพื่อป้องกันประเทศและประชาชนของตัวเอง ทำไปแล้วถ้าตนเองกำลังใจไม่ดี จิตเศร้าหมองก็ลงนรกแน่นอน
ท่านทั้งหลายเหล่านี้ รู้อยู่ว่าทำแล้วผลเป็นอย่างไรแต่ก็ทำ ทำเพื่อความสุขของคนอื่นมากกว่า อย่างปัจจุบันก็ต้องดูในหลวงของเรา ต้องบอกว่าถ้าท่านนอนสบาย อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องลำบากตรากตรำก็ได้ แต่ท่านก็ทุ่มเท เหน็ดเหนื่อยให้กับประชาชนมาตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปี พูดง่าย ๆ ว่าเวลาจะพักสักนิดหนึ่งก็ไม่มี
กลอนที่เขาแต่งถวายตอนงานกาญจนาภิเษกว่า
พระเอย..พระผ่านภพ คุณขจบ ขจรขจาย ดุจฟ้า ดาราฉาย ดุจคืนผ่อง ด้วยเดือนเพ็ญ
หัตถ์ทิพย์ แห่งท่านไท้ กำจัดไข้ กำจัดเข็ญ ร้อนทุกข์ ขุกลำเค็ญ เย็นทั่วหน้า มาทุกฉนำ
แผ่นดิน ที่ทรงครอง แผ่นดินทอง แผ่นดินธรรม ขุกเข็ญ ทุกคราวความ ธ ดับเข็ญ ทุกคราวครัน
เหน็ดเหนื่อย นั้นหนักนัก ธ ทรงงาน อเนกอนันต์ จักพัก เพียงสักวัน ก็หายาก ลำบากเกิน
พิมานทิพย์ คือท้องทุ่ง ม่านราวรุ้ง คือเขาเขิน ร้อนหนาว ในราวเนิน มาลูบไล้ ต่างสุคนธ์
รอยพระบาท ที่ยาตรา แทบทั่วหล้า ฟ้าสกล พระเสโท ที่ถั่งท้น ถ้าไหลรวม คงท่วมไทย..ฯ "
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-11-2010 เมื่อ 06:37
|