ในคืนวันนั้น สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ ดังนี้
๑. “การที่เจ้าสงสัยว่า สุนัขจักโมทนาผลบุญได้หรือไม่นั้น เท่ากับเจ้าสงสัยในอานุภาพของพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณด้วย” (เพื่อนผมก็กราบขอขมาพระองค์ท่าน) แล้วทรงตรัสว่า “อย่างนี้เรียกว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจ้าดูสภาพกายในของสุนัขตัวนี้สิ” ทรงพระเมตตาให้เห็นภาพเทวดาที่มีเครื่องประดับแพรวพราวทั้งตัว ยืนพนมมือซ้อนภาพสุนัขอยู่
๒. ทรงตรัสว่า “สัตว์เดรัจฉานมิใช่สัตว์ในมหานรก ถ้าหากผู้ทำบุญทำกุศลมีความฉลาด ในการขอพึ่งบารมีพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ เป็นสื่อการอุทิศผลบุญกุศลนั้นให้แก่สัตว์เดรัจฉาน ก็ย่อมทำได้ และมีผลที่สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นจักโมทนาได้”
๓. “แม้การสื่อภาษาจิต โดยอาศัยพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโน โดยผ่านภาษาสมมุติในคนและสัตว์เดรัจฉานก็ย่อมทำได้ เพราะภาษาจิตเป็นภาษาหลัก สื่อจิตถึงจิตได้โดยไม่ติดภาษาสมมุติ และไม่ติดกายสมมุติอันเป็นกฎของกรรมที่จิตแต่ละดวงไปจุติติดอยู่ตามนั้น”
๔. “การอาศัยพึ่งบารมีพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ ซึ่งวิมุติแล้ว ธรรมสมมุติก็ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางได้แต่ประการใด แต่ทุกประการจักต้องไม่พ้น คือ เกินวิสัยกฎของกรรม จึงจักช่วยได้”
๕. “กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อพวกเจ้าเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนาแล้ว จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม กฎของกรรมแต่อดีตชาติที่จักส่งผลกระทบร่างกายนี้ มันยังตามมาอีกมาก ไม่ว่าจักเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม กฎของกรรมย่อมเที่ยงอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาทในกรรม อย่าสร้างกรรมใหม่อันเป็นอกุศลให้เกิดทางกาย วาจา ใจ ให้ระมัดระวังจิต อย่าหวั่นไหวในผลของกรรมเก่าที่จักส่งผลสนองมาในปัจจุบัน”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 16-11-2010 เมื่อ 08:18
|