อารมณ์นิมิต
สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ ดังนี้
๑. “
อารมณ์ในนิมิต จักเป็นอารมณ์ของจิตส่วนลึก ๆ ที่มีกิเลสแฝงเร้นอยู่ อันยามปกติหากยังนอนไม่หลับ บุคคลผู้เข้าถึงฌานก็มักใช้ฌานกดเก็บอารมณ์อันเป็นกิเลสนั้น ๆ หรือบางคนก็อาจจักกดด้วยการพิจารณาในวิปัสสนาญาณ ซึ่งยังมีกำลังอ่อน ๆ อยู่”
๒. “แต่ตราบใด
ที่หลับแล้วด้วยความเผลอใจ มิได้กำหนดจิตให้อยู่ในฌาน ธรรมนิมิตก็จักปรากฏขึ้นมาทดสอบอารมณ์ของจิต ให้รู้ถึงส่วนลึก ๆ ของความปรารถนาของอารมณ์จิตว่าเป็นเช่นใด ซึ่งเป็นปกติวิสัยของนักเจริญพระกรรมฐาน จักต้องพบกับข้อทดสอบตลอดเวลา ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น”
๓. “หากบุคคลใดจิตติดอยู่กับอารมณ์พระกรรมฐานจนเป็นอารมณ์ชินแล้ว คำว่าเผลอจักมีได้ยาก ยกเว้นในบางขณะที่ร่างกายมีอาการป่วยไข้ไม่สบายเท่านั้น จุดนั้นจิตจักเพลีย มีความเผลอได้ง่าย เจ้าก็เช่นกัน
ให้สังเกตดูให้ดี ๆ ก่อนที่จักถึงจุดตัดหลับ หากจิตทรงฌานอยู่ในอนุสติใดอนุสติหนึ่งได้อย่างมั่นคง หรือวิปัสสนาภาวนาอยู่ได้ตลอดจนกระทั่งหลับ อาการธรรมนิมิตที่จักทำให้สอบตกนั้นไม่มี”
๔. “
ยกเว้นแต่กำลังภาวนาหรือพิจารณาไป จิตเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน นิวรณ์ ๕ เข้ามาแทรกอารมณ์ของจิต ให้ออกนอกลู่นอกทางจากอารมณ์ของการเจริญพระกรรมฐาน แล้วจิตตัดหลับในขณะนั้น จุดนี้แหละ ธรรมนิมิตที่จักเข้ามาทดสอบอารมณ์ของจิต ก็แทรกเข้ามาได้ง่าย เหมือนกับประตูหน้าต่างที่มีช่องโหว่ แมลงย่อมบินเล็ดลอดเข้ามาได้ จิตว่างจากอารมณ์ของฌานหรือวิปัสสนาญาณ ฟุ้งไปเพราะนิวรณ์ ๕ เข้าแทรกก็เป็นช่องโหว่ ธรรมนิมิตก็เข้ามาได้เช่นกัน”
๕. “ต่อไปนี้
พวกเจ้าต้องมีการกำหนดรู้อารมณ์ ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น อย่างเช่นเมื่อเช้านี้เจ้าพิจารณาวิปัสสนาได้ดี มีผลกำลังทรงตัว แต่เพียงไม่นานความไม่กำหนดรู้ ลืมสำรวมอายตนะ ตากระทบรูป จิตที่ขาดสติ-สัมปชัญญะก็ทิ้งธรรมที่พิจารณา หันไปฟุ้งซ่านให้นิวรณ์เข้ามากินใจแทนเยี่ยงนี้แหละ เจ้าที่จักต้องกำหนดรู้อารมณ์ของจิต ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น
หากจักต้องการชนะกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ก็จักต้องทำได้ ค่อย ๆ ทำไปด้วยความเพียร ต่อไปจิตจักมีอารมณ์ชิน ปิดกั้นนิวรณ์ ๕ ได้สนิทเอง”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com