๖. “เมื่อเหตุการณ์นั้นผ่านไป ได้ตอบโต้กับบุคคลเหล่านั้นจนสะใจ หรือพอใจแล้ว จุดนี้จิตตกอยู่ในห้วงภวตัณหา เป็นการสนองอารมณ์ของกามตัณหาให้สะใจ”
๗. “เมื่อเหตุการณ์นั้นผ่านไป
เป็นอดีตธรรมแล้ว แต่จิตไม่ยอมวางอารมณ์ขุ่นมัว ยังครุ่นคิดปรุงแต่งอดีตธรรมนั้นให้เหมือนอยู่ในธรรมปัจจุบัน หากเจอคู่อริใหม่ก็จะด่าใหม่ ล้วนเป็นอารมณ์อนาคตที่ยังมาไม่ถึง บางครั้งเห็นหน้าเขามาแต่ไกล ก็บ่นหรือด่าในใจแล้ว
ต้นเหตุจากพรหมวิหาร ๔ ไม่มีเลยในขณะนั้น นี่แหละคือวิภาวตัณหา”
๘. “
ตัวอยากโลภก็เช่นกัน โลภในคน สัตว์ วัตถุ ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เห็นว่ามันสวยสดงดงาม เป็นที่ถูกใจหรือพอใจ นี่คือกามตัณหา เมื่อได้มาแล้วก็หลง อยากให้มันมีความทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือภวตัณหา แต่ในที่สุด คน สัตว์ วัตถุ ทรัพย์สินต่าง ๆ แม้กระทั่งร่างกายของตนเอง ซึ่งมาจากธาตุ ๔ ก็ต้องเสื่อม เศร้าหมอง หาความสดใสไม่ได้ ร่างกายก็ต้องป่วย ต้องแก่ วัตถุธาตุก็ต้องเก่าทรุดโทรมไปตามกาล ตามสมัย แต่
จิตหลงหรือโง่ ไม่ยอมรับความเป็นจริง จิตมีอารมณ์เสียดาย จะให้อดีตกลับมาเป็นปัจจุบันใหม่ ไม่เข้าใจกฎของไตรลักษณ์ หรือกฎธรรมดาของโลก นี่คือวิภวตัณหา”
๙. “
เมื่อร่างกายนี้ตายแล้ว แต่อารมณ์จิตยังไม่รู้จักพอ มีแต่ความทะยานอยาก หลงอยู่ในสภาวะของตัณหา ๓ ประการ จึงเป็นเหตุให้เกิดต่อ ๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเป็นดวงจิตที่ไม่รู้จักยุติกรรม มีความหลงในร่างกาย หรือหลงในอายตนะสัมผัสที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ (ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย) ทำให้อยากโกรธ อยากโลภ อยากหลง ต่อกรรมไปในทางทะยานอยากตามสภาวะของตัณหา ๓ ประการ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com