เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๓
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดคำภาวนาอย่างไรก็ได้แล้วแต่เราถนัด
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานประจำต้นเดือนตุลาคมของพวกเราวันที่สองแล้ว
ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น สิ่งที่ทุกท่านจะลืมไม่ได้เลย อันดับแรกก็คือ เรื่องของลมหายใจเข้าออก เพราะว่าเป็นการปฏิบัติที่ทำให้เรามีสมาธิทรงตัว การที่สมาธิจะทรงตัวได้ต้องอาศัยการกำหนดดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย
ในขณะเดียวกัน ทุกท่านก็ต้องละทิ้งความกังวลทั้งหมด ความกังวลที่ภาษาบาลีเรียกว่า ปลิโพธ อยู่ที่นี่แล้วห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงบ้านห่วงช่อง ห่วงการงาน เป็นต้น
เราต้องตัดใจว่า เราอยู่ที่นี่ ถึงอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราไม่สามารถที่จะไปแก้ไขได้อยู่แล้ว ถ้าจะดูตัวอย่าง ก็ต้องดูตัวอย่างของบุคคลในธรรมบทที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ คือ นางกาติยานี
นางกาติยานีเป็นมหาเศรษฐี เป็นบุคคลที่เลื่อมใสในพระโสณกุฎิกัณณเถระ ตั้งใจไปฟังธรรรม ปรากฏว่า การแสดงธรรมนั้นเป็นเวลาค่ำ นางจึงสั่งสาวใช้ให้กลับบ้าน ไปเอาคบไฟมามาก ๆ หน่อย เพื่อจุดให้แสงสว่างแก่คนทั่วไป จะได้มีความสะดวกในการฟังธรรมจากพระโสณกุฎิกัณณเถระ
เมื่อสาวใช้กลับบ้านไป ปรากฏว่าเห็นบรรดาโจรกำลังเจาะกำแพงบ้าน เพื่อจะเข้าไปปล้นทรัพย์ จึงรีบวิ่งกลับมาบอกเจ้านายว่า "ข้าแต่พระแม่เจ้า..บัดนี้โจรกำลังเจาะกำแพงเพื่อที่จะประสงค์เอาทรัพย์อยู่"
นางกาติยานีกล่าวว่า “ขอเธอจงอย่าทำเราฉิบหายจากความดีเสียเลย ขึ้นชื่อว่าการฟังธรรมนั้นเป็นของยาก ใครจะประสงค์ต่อทรัพย์ก็ให้เขาเอาไปเถอะ เราจักฟังธรรม”
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2010 เมื่อ 17:37
|