ทำอานาปานุสติกองเดียว
ทำอานาปานุสติกองเดียว
ก็ถึงพระอรหันต์
เมื่อวันเสาร์ที่ ๖ พ.ย. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ ดังนี้
๑. บ่ายนี้ที่เจ้าฟังท่านฤๅษีสอนในเทปหมวดอานาปานุสติที่ว่า แม้แต่ในขณะพูดอยู่ก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้ จักขาดจริง ๆ แต่คำภาวนาเท่านั้น แล้วเจ้ามาคิดต่อว่า คำพูดคำหนึ่งคือลมหายใจเข้า เมื่อต่ออีกคำหนึ่งก็คือลมหายใจออกนั้น เป็นการถูกต้อง เพราะขณะจิตหนึ่งคือลมหายใจเข้า ยังไม่ทันลมหายใจออก หรือแค่พุทยังไม่ทันโธ
๒. แล้วที่เจ้าคิดต่อไปว่า ในคนที่พูดรุนแรงรวดเร็ว ด้วยอารมณ์โทสะ จักนับว่าคำพูดหนึ่งเท่ากับลมหายใจออกได้ไหม? ตถาคตรับรองว่าได้ เพราะในคนที่กำลังมีโทสะเกิดขึ้นกับจิตนั้น กำลังไฟเผาผลาญร่างกายให้ทำงานเร็วขึ้น โลหิตในร่างกายถูกหัวใจสูบฉีดให้ไหลแรงเร็วขึ้น ลมหายใจก็ถี่ขึ้นตามอารมณ์ที่ถูกกระทบนั้น เหมือนคนที่วิ่งออกกำลังกายมาเหนื่อย ๆ หัวใจก็เต้นแรงปานกัน คำพูดที่รัวออกมาจึงเป็นจังหวะของลมหายใจได้เสมอกัน (สันตติภายนอกกับสันตติภายใน)
๓. แล้วที่เจ้าคิดว่า เมื่อพระอรหันต์ท่านกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา การพูดของท่านก็ย่อมรู้ในวาจาที่พูดออกมาตลอดเวลา เพราะจิตท่านทรงสติสมบูรณ์ด้วยอานาปานั้น จักใช่หรือไม่ ตถาคตก็จักยืนยันว่า ใช่ เพราะฉะนั้นคำว่าเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ย่อมไม่มีในวาจาของพระอรหันต์อย่างแน่นอน เพราะท่านมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ด้วยการกำหนดรู้อานาปานสติควบกับมรณานุสติ ควบกับกายคตาและอสุภกรรมฐาน และกำหนดรู้ในอริยสัจ หรือกฎของกรรมอย่างมั่นคง ความหลงไม่ยอมรับนับถือในกฎของกรรมนั้น ไม่มีในพระอรหันต์ และเป็นคำจริงที่เจ้าคิดต่อไปว่า พระอรหันต์เห็นอะไรที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเรื่องธรรมดาหมด
๔. เจ้าเห็นอิทธิพลของอานาปานุสติแล้วหรือยัง (ก็รับว่า เห็นแล้ว) เมื่อเห็นแล้ว ก็จงจำคำที่ท่านฤๅษีกล่าวว่าจักต้องทรงอานาปาให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ตราบใดที่จิตนี้ยังตื่นอยู่ ความนี้เจ้าสำคัญว่าเป็นไฉน? (เข้าใจว่า ขณะที่กายหลับ จิตที่ฝึกดีแล้วในอานาปา สามารถทรงฌานในอานาปาจนชิน ก็จะยังทรงอานาปาอยู่ในขณะหลับได้ด้วย จึงจัดได้ว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง)
|