๑๑. “
เมื่อบุคคลใดรู้สันตติภายในแล้ว ก็ย่อมจักกำหนดรู้เหตุที่เกิดและที่ดับแห่งอารมณ์นั้น ความประมาทย่อมไม่มี หรือมีก็น้อยเต็มที บุคคลผู้นั้นก็จักทำการระงับ หรือตัดข้อต่อแห่งรากเหง้าโมหะ โทสะ ราคะทิ้งไป จึงจักทำจิตให้บริสุทธิ์หมดจดปราศจากกิเลสได้”
๑๒. “
การเพียรละอารมณ์โมหะ โทสะ ราคะ ให้ออกไปจากอารมณ์ของจิต โดยกำหนดรู้อารมณ์ของจิตในขณะหนึ่ง ๆ นั้น จัดได้ว่าเป็นการทำสันตติทางธรรมให้เกิดขึ้น สืบเนื่องให้จิตมีกำลังศีล สมาธิ ปัญญา ก็ร้อยรัดเป็นลูกโซ่ที่ประติดประต่อกันเข้ามาในอารมณ์ของจิตแทน จิตนั้นจึงจัดได้ว่าเข้าถึงปัญญาวิมุติทางพุทธศาสนาอย่างแท้จริง กล่าวคือ บุคคลนั้นถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั่นเอง”
๑๓. “เพราะฉะนั้น การที่ยังมีร่างกายอยู่ก็จักต้องมีสติกำหนดรู้กายว่า ปกติของร่างกายนั้นเป็นอย่างไร? เห็นคน สัตว์ วัตถุธาตุก็ต้องมีสติกำหนดรู้ แม้แต่จิตจักสัมผัสหรือเห็นพรหม เทวดา นางฟ้า ก็ต้องมีสติกำหนดรู้ความปกติของสิ่งนั้น ๆ
ยอมรับนับถือในสันตติภายนอก อันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นปกติตามสภาวะธรรมนั้น ๆ แต่จิตไม่ปรุงแต่ง กล่าวคือ ไม่ให้อกุศลกรรมหรือกุศลกรรม เกิดขึ้นในอารมณ์ในขณะสัมผัสธรรมนั้น ๆ กล่าวคือรู้สักเพียงแต่ว่ารู้ เห็นเพียงสักแต่ว่าเห็น ไม่เกาะติดในสภาวะธรรมนั้น ๆ เห็นเป็นปกติ จึงตัดโมหะ โทสะ ราคะ ไม่ให้เกิดขึ้นในจิต นี่คือจิตในจิต จุดแรกคือ รู้ธรรมในธรรม การรู้เท่าทันในสภาวะของโลกก็คือ รู้เวทนาภายนอกหรือสันตติภายนอก การรู้เท่าทันสภาวะของจิต คือ รู้เวทนาภายในหรือสันตติภายใน”
๑๔. “
ที่สุดของธรรมก็คือ รู้แยกจิต แยกกาย แยกเวทนา แยกธรรม สรุปรวมเป็นหลักใหญ่ได้ ๒ ประการ คือ รู้เท่าทันกองสังขารของกายและจิต ถ้าทำได้เท่านี้ พวกเจ้าก็จบกิจพระพุทธศาสนา ตัดสันตติทางโลก (ภายนอก) ทิ้งเสียได้ สันตติทางธรรมก็เกิดขึ้นเองเป็นอกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ เป็นวิญญูชนผู้เจริญเต็มที่แล้วในพระพุทธศาสนานั่นเอง รู้แล้วต้องจำและนำไปปฏิบัติให้ได้ด้วย”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com