| 
				  
 
			
			"ในเรื่องของข่าวลือ  หรือการถือมงคลตื่นข่าวนั้น จะหายไปได้ก็ต่อเมื่อทุกคนเป็นพระโสดาบันไปแล้ว  ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ยังมีอยู่เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..อะไรเกิดขึ้นให้รับรู้ไว้ แต่อย่าเพิ่งเชื่อ 
 ขณะเดียวกันก็อย่าไปใส่อารมณ์ตาม เพราะว่าพอพูดจากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง เนื้อข่าวจะเริ่มเพี้ยน จะมีการต่อปีกต่อหางไปเรื่อย จากปลาไหลตัวใหญ่หน่อยเลยกลายเป็นมังกรไปทั้งตัว..!
 
 สมัยที่เรียนการข่าวของทหาร  เขามีวิธีทดสอบการส่งข่าว  โดยครูฝึกจะกระซิบใส่หูคนแรก  ภายในหนึ่งนาทีต้องส่งสารไปถึงคนสุดท้ายให้ได้  ทหารรุ่นนั้นมีอยู่ ๑๒๓ คน  เขาก็กระซิบต่อไปเรื่อย ๆ  จนไปถึงคนสุดท้าย    แล้วคนสุดท้ายนั้นก็วิ่งมาต่อหน้า  ชิดเท้าปัง...!  ยกมือทำความเคารพ แล้วรายงานครูฝึกว่า "ขอบคุณมากครับ..!"
 
 ครูฝึกก็งง ถามว่า "อะไรของมึงวะ ?"  เขารายงานครูฝึกไปว่า "ไอ้นั่นบอกว่า ครูฝึกจะให้ผม ๒๐ บาท"  ความจริงครูฝึกเขากระซิบใส่หูคนแรกให้บอกคนสุดท้ายว่า  "ให้มันวิดพื้น ๒๐"  คิดดูก็แล้วกันว่า  ให้วิดพื้น ๒๐ ครั้งกลายเป็นครูฝึกจะให้เงิน ๒๐ บาท แค่ผ่านไปไม่กี่ปากเองนะ
 
 ดังนั้น...เขาถึงต้องมีข่าวกรอง ก็คือ การรับข่าวจากแหล่งข่าวหลาย ๆ แห่ง แล้วนำมาวิเคราะห์ ส่วนไหนที่ตรงกันจึงค่อยเชื่อ แต่ไม่ใช่เชื่อทั้งหมด ต้องมีการพิสูจน์ทราบด้วย
 
 ดังนั้น..วิชาการข่าว มีการเรียนข่าวกรองและการต่อต้านข่าวกรองเป็นเรื่องสนุกมาก  ครูฝึกเขาก็ทดสอบให้เห็น ๆ ว่าเนื้อข่าวผ่านปากแค่นาทีเดียว  ก็เพี้ยนไปได้ขนาดนั้น  ลองคิดดูว่า..ถ้าข่าวลือไปสักอาทิตย์หนึ่งจะเพี้ยนไปได้ขนาดไหน ? แต่ละคนพูดเหมือนกับตาเห็นทั้งนั้น..!"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:49
 |