| 
				  
 
			
			พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนงานฉลองวัดหนองบัวเสร็จแล้ว  ญาติโยมสามสี่หมู่บ้าน ทั้งหนองบัว  ป่าหวาย  สามพระยา  บ้านใหม่  เขาแห่มาส่งเราเต็มหน้าวัด  แต่ละคนก็เอาดอกไม้  ยอดหว้า ที่เขาถือว่าเป็นสิ่งที่บูชาพระ บูชาสิ่งที่เคารพมาให้  
 คนนี้ก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า  คนนั้นก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า  มานั่งดูใจของตัวเองว่า อารมณ์ความรู้สึกที่เขายึดเราเป็นที่พึ่ง   แต่ยึดเป็นที่พึ่งในลักษณะของการยึดตัวบุคคล  ทำให้เรารู้สึกว่าอาลัยบ้างหรือไม่ ? ปรากฏว่าไม่มี..แต่ก็ระวัง  ระวังว่าจะเป็นแบบนั้น
 
 ที่ขำก็คือ  พอเรือออกมา ท่านอาจารย์ใหญ่ยานิกะมาโบกมือบ๊ายบายอยู่ตรงหน้าเจดีย์  เออ..ท่านอาจารย์ก็เป็นไปกับเขาด้วย
 
 อาจารย์ใหญ่ยานิกะ ความจริงหลักการท่านดีหมด  เพราะท่านจบธัมมะจริยะ (เทียบเท่าประโยค ๙ ของไทย) ตั้งแต่ท่านยังเป็นสามเณร  ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาท่านแน่นมาก แต่ว่าในเรื่องหลักการปฏิบัติท่านยังน้อย  ท่านบอกว่า ท่านเองตายแล้วไม่หวังจะเกิดใหม่  ก็เลยพยายามจะทำทุกอย่างให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม
 
 ลูกศิษย์ของท่านคือ หลวงพ่อเมียงจีงู  ทหารกะเหรี่ยงทั้งประเทศขึ้นอยู่กับลูกศิษย์ท่าน  แต่ท่านอาจารย์เองต้องมาขอไม้เก่าของวัดหนองบัวไปสร้างศาลา   ท่านบอกว่า ท่านไม่แน่ใจว่า ถ้าให้ทหารเอาไม้มา  จะถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า ?  ถ้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  เดี๋ยวท่านจะโดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระโดยไม่รู้ตัว  นั่นท่านระวังมากนะ  ยอมมาขอไม้เก่าจากวัดหนองบัวไปสร้างศาลา
 
 แม้ท่านจะระวังขนาดนั้นก็ตาม เราต้องเข้าใจว่า  ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นได้เปรียบ  เพราะเรารู้ว่าอารมณ์พระอริยเจ้าเป็นอย่างไร  มีกติกาเท่าไร  เราปฏิบัติได้เลย แต่ว่าสายอื่นเขาไม่รู้  ในเมื่อเขาไม่รู้ ก็เปะปะไปเรื่อย  ถ้าหากว่าตรงทางก็ดีไป  แต่ถ้าหากหลงทางก็ต้องเกิดมาทนทุกข์อีกหลายชาติ..!"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2019 เมื่อ 11:31
 |