เหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าพเจ้าหมดความสงสัยในจิตโดยสิ้นเชิง ทั้งเป็นเครื่องเตือนจิตของตนตลอดเวลา กลัวผลที่ออกมา อย่างที่ได้พบเห็นที่ได้พิสูจน์ความจริงมาแล้ว มันน่ากลัวจริง ๆ มันน่าสยอง มันทรมานนานาประการ ช่วยตัวเองก็ไม่ได้
ต้องเที่ยวขอส่วนบุญเหมือนขอทานก็ไม่ผิด เพราะจิตที่มืดมัว ไม่เชื่อ ไม่กลัวกรรม เอาแต่คึกคะนองจองหองพองขน อวดตัวเมื่อยังดำรงชีวิตอยู่ ไม่คิดทำแต่สิ่งดี ชอบเบียดเบียนผู้อื่น หาแต่ผลประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวก ไม่คำนึงถึงผิดถูก ขอเพียงแต่ให้ได้มาด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ใครจะเดือดร้อนแค่ไหน ไม่สนใจ กลับมาสมคบกันเหยียดหยามเสียอีก ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทั้งกลั่นแกล้งเอารัดเอาเปรียบ ลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ประพฤติผิดศีล ฉ้อฉลคดโกง
พูดรวม ๆ แล้ว มนุษย์เราเหมือนดอกบัวสี่เหล่า เหล่าหนึ่งอยู่ในโคลนตมเป็นเหยื่อของปูปลาไป ไม่มีโอกาสจะโผล่จากโคลนตม เหล่าที่สองพ้นจากโคลนตมแต่อยู่มาอยู่แค่กลางน้ำ ไม่มีโอกาสจะขึ้นปริ่มน้ำปูปลาก็กินเสียก่อน เหล่าที่สามพ้นจากโคลนตม พุ่งขึ้นมาแค่ปริ่มน้ำแต่ไม่ขึ้นพ้นน้ำ ได้พบแสงสว่างแต่ไม่มีโอกาสจะได้บาน เหล่าที่สี่พ้นจากโคลนตม พุ่งขึ้นเหนือน้ำ รอแสงอาทิตย์ส่องก็จะเบ่งบาน
จะเห็นได้ว่าบัวทุกดอกล้วนแต่ขึ้นมาจากโคลนตมทั้งสิ้น คนเราทุกคนมาจากความไม่รู้มาก่อน หากไม่สกัดกั้นตนเองเสียก่อน ก็ควรทำการศึกษา ค้นคว้าสิ่งไม่รู้ไม่เห็น ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อรู้แล้วจะปฏิบัติอย่างไร? สุดแท้แต่บุญบาปของแต่ละบุคคล บางคนยากจะแก้ไข บางคนง่ายจะแก้ไข หากมีบุญหนุนนำ ไม่ยากที่จะแก้เหตุเพราะบุญนั้นจะนำไปเอง หากขาดบุญหนุนนำจะพูดจะบอกจะชี้อย่างไรก็ไม่เอา ไม่เข้าใจ ไม่เล่นด้วย ไปทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนเอง เป็นโทษในภูมิภพในชาติของตน เหมือนดวงวิญญาณข้างต้น ไม่พบเองไม่น่ากลัวอะไร “เวลาที่พระยายมยังให้โอกาส ไม่เร่งให้ทัน เร่งแล้วอาจไม่ทันก็ได้ อย่ารีรออยู่เลย เวลาไม่มี ไม่คอย"
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 29-09-2010 เมื่อ 14:46
|