| 
				  
 
			
			"ถ้าใครไม่เคยเจอน้ำป่า  จะไม่รู้ว่าน่ากลัวขนาดไหน  มาทีอย่างกับภูเขาถล่ม    
 น้ำป่านั้นเกิดจากท่อนไม้บ้าง ใบไม้บ้าง มาขวางลำธาร  พอสิ่งกีดขวางสะสมมากเข้า ๆ  ก็เท่ากับเป็นเขื่อนกั้นน้ำ   พอเวลาน้ำสูงขึ้น แรงดันก็มากขึ้น  พอกั้นไม่อยู่พังโครมลงไปก็เป็นน้ำป่า
 
 เคยธุดงค์อยู่รอบหนึ่ง เจอน้ำป่าด้วย เจอพายุลูกเห็บด้วย  ช่วงนั้นเดินตัดทุ่งใหญ่ขึ้นไปทางอุ้มผาง  พอตอนเย็นก็ปักกลด  ดินฟ้ามืด ๆ พิกล สักพักฝนก็เกรียวกราวมา   ประเภทฝนเม็ดโต ๆ  บริเวณที่อาตมาอยู่ฝนก็ตก อาตมาก็แปลกใจว่าตาลายหรือเปล่า เพราะเม็ดฝนเด้งได้ กระทบพื้นแล้วกระเด้งกระดอนไปทั่ว
 
 ความจริงนั่นเป็นลูกเห็บ  พอตกกระทบพื้นแล้วก็เด้ง  แรก ๆ ขนาดเท่านิ้วก้อย สักพักเม็ดเท่านิ้วชี้  สักพักเม็ดเท่านิ้วโป้ง ตกอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง  ต้นไม้ใบหญ้าปรุหมด  จากป่าที่รกกลายเป็นโล่งไปเลย
 
 หลังจากนั้นฝนจริง ๆ ก็มา  กระหน่ำอยู่ประมาณสองชั่วโมง  โชคดีตอนนั้นมีเพิงหินอยู่หน่อยหนึ่ง  พอที่จะมุดหลบเข้าไปได้   พอฝนหยุดตั้งใจว่าเดี๋ยวจะหาฟืนมาก่อไฟ  จะได้ตากผ้าที่เปียก
 
 ยังไม่ทันออกหาฟืนเลย เสียงน้ำป่ามาเหมือนกับภูเขาถล่ม ม้วนกลิ้งตูมลงมา ถ้าหนีก็หนีไม่ทัน   โชคดีตรงที่ว่า จุดที่ไปหลบฝนอยู่นั้นเป็นเนินเขา ไม่ได้ไปขวางทางน้ำ เลยปลอดภัย
 
 บริเวณด้านข้างเป็นลำห้วยกว้างมาก เป็นห้วยแห้งที่ไม่มีน้ำ  เนื่องจากเป็นหน้าแล้ง  เพราะฉะนั้น..อย่าไปไว้ใจว่าในป่าหน้าแล้งแล้วจะไม่มีฝน  ไปป่าเมื่อไรหน้าไหนก็เจอฝน"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-09-2010 เมื่อ 09:10
 |