| 
				  
 
			
			"ท่านกุเวระ  ท่านเกิดในประเทศพม่าที่เผด็จการทหารครอบงำมายาวนาน พูดง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่ได้เอกราชมาจนถึงทุกวันนี้  ๖๐ - ๗๐  ปี  มีแต่เผด็จการทหารปกครองมาตลอด
 ท่านต้องดิ้นรนอยู่ด้วยความยากลำบาก ต้องการการศึกษาแต่ไม่มีหนทาง เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุน  ก็ต้องบวชเพื่อให้มีโอกาสได้เรียน  ต้องลำบากและอดทน   ต้องอดนอน โดยเฉพาะอาหารบูด ๆ เน่า ๆ ที่ต้องทนฉันเป็นสิบปีเพื่อเรียนให้จบ...
 
 ถ้าเรามาเปรียบเทียบดูว่า กำลังใจในการต่อสู้ในความทุกข์ยากแบบของท่าน   กับกำลังใจที่ต่อสู้กับความทุกข์ในบ้านเราของพวกเรา จะแตกต่างกันมาก  พวกเราสบายจนกระทั่งไม่ค่อยรู้สึกถึงความทุกข์   พอทุกข์หน่อยก็โวยวาย  พูดง่าย ๆ ว่าความเข้มแข็งอดทนไม่มีเลย..!
 
 เรานึกดูว่า ถ้าเราเป็นอย่างทั้งสามท่าน  ต้องไปต่อสู้ดิ้นรนในลักษณะอย่างนั้น   ท่านทั้งหลายถ้าผ่านสภาวะเหล่านั้นไปได้  จะยืนหยัดเป็นหลักได้ทุกคนเลย  เพราะท่านผ่านบทเรียนที่เป็นของจริงมาแล้ว
 
 แต่พวกเราพอเจอทุกข์เข้าก็ถอย  คอยไปผ่อนผันให้กิเลส  ยิ่งตอนที่เริ่มปฏิบัติไป  กิเลสดิ้นรนใกล้จะตาย  พอกิเลสรู้ว่าจะตายก็ดิ้น  เรามักจะไปผ่อนให้ทุกที  เราไปผ่อนให้เพราะเรากลัวว่าเราจะตาย  ทั้งที่กิเลสกำลังหลอกเรา  เพราะจะว่าไปแล้วกิเลสก็คือเรา  พอจะตายก็หลอกว่าเราจะตาย  เราก็เชื่อเสียอีก เพราะฉะนั้น..เราจึงเอาดีได้ยาก
 
 แต่ถ้าเราดูกำลังใจของสามท่านที่ดิ้นรน  จนกระทั่งได้รับการศึกษา ได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย   ต่อสู้กับความยากลำบากทุกอย่าง  เข้ามาแล้วการสื่อสารก็ได้แต่ภาษากลาง คือภาษาอังกฤษ   และอย่างท่านมังคละปิยะและท่านกุเวระ  โอกาสที่จะสื่อสารกับคนไทยได้รู้เรื่องนั้นยากมาก  เพราะสำเนียงการพูดของท่านฟังยากจริง ๆ"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2010 เมื่อ 01:16
 |