| 
				  
 
			
			"คราวนี้เรามาดูว่าท่านจารึก ท่านเกิดอยู่ท่ามกลางสงคราม พ่อแม่ต้องหอบหิ้วอุ้มข้ามมาเมืองไทยเพื่อเอาตัวรอด เมื่อย้อนกลับเข้าไปประเทศตนเอง ญาติพี่น้องก็ตายหมด  ตัวเองต้องดิ้นรนจนกระทั่งบวชพระได้  เข้ามาเมืองไทยเพื่อศึกษาต่อ  โดยตั้งความหวังไว้ว่า จะกลับไปช่วยคนในชุมชนของท่าน  
 กำลังใจในลักษณะอย่างนี้  เป็นกำลังใจที่เปิดกว้างมาก  อยู่ในลักษณะของพรหมวิหารสี่แบบอัปมัญญา  คาดว่าต้องเป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์   ประโยคที่ท่านบอกว่า คุณไปไหนคุณบอกว่าเป็นคนไทย  ต่างชาติเขาปฏิบัติต่อคุณอย่างมีเกียรติ แต่ท่านไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้น  พอบอกว่าเป็นกัมพูชา  มีแต่คนดูถูกเขาเหมือนกับเป็นพลเมืองชั้นสอง
 
 ถ้าเราไม่ได้โดนเองก็จะไม่ซาบซึ้ง  ตอนแรกเขาใช้คำว่า  suffering คือ ความทุกข์ แต่เขาก็รู้สึกว่ายังไม่ได้อย่างใจเขา  พอเขาใช้คำว่า  painful  ค่อยเห็นชัดหน่อย  คือเป็นความเจ็บปวดจริง ๆ  เกิดเป็นคนแต่คนอื่นเห็นเหมือนกับว่าไม่ใช่คน..!
 
 ท่านมังคละปิยะ   เหมือนกับน้ำหยดเดียวอยู่ท่ามกลางทะเลทราย จะระเหยหายไปเมื่อไรก็ไม่รู้  เพราะประชากรห้าแสนคน ไม่รู้ว่าจะขยับขยายขึ้นมาได้หรือเปล่า  แต่ท่านบอกว่า  ท่านพยายามตั้งสมาคมชาวพุทธต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน  โดยเฉพาะให้กำลังใจ
 
 ให้กำลังใจในการดำรงอยู่ในความเป็นชาวพุทธของตน  โดยไม่ถูกอิสลามครอบงำและดึงไปหมด และพยายามจะสร้างเว็บไซต์ติดต่อกับโลกภายนอก  เพื่อที่จะให้ชาวโลกรู้ว่า ยังมีชาวพุทธอยู่จุดหนึ่งในเมืองจิตตะกอง   ถ้าหากอิสลามจะทำอะไรรุนแรง อย่างน้อยก็จะเกรงใจบ้างว่า ยังอยู่ในสายตาของชาวโลก
 
 ท่านเองก็สารภาพตามตรงว่า เรียนจบก็ไม่อยากกลับบ้าน แต่ท่านก็ต้องไป  เราลองเทียบกำลังใจดูซิว่า ถ้าเราพ้นจากนรกมา แบบท่าน เราคิดจะกลับไปไหม ? แต่ท่านต้องไป   ที่ต้องไปเพราะผู้ที่รออยู่ก็คือพี่น้องของท่าน ก็คือ ประชาชนของท่าน
 
 กำลังใจประเภทนี้ก็คงไม่แคล้วพระโพธิสัตว์อีกเหมือนกัน  โดยเฉพาะสถานภาพของท่านเหมือนกับเป็นเจ้าชาย  จะต้องกลับไปดูแลคนในเผ่าของตน"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2010 เมื่อ 01:11
 |