เมื่อออกจากปราสาท หลวงพ่อถามว่า “ปราสาทของเราสวยไหม? ไปดูภาพเขียนรอบวิหาร จะเข้าใจอะไรมากขึ้น” ข้าพเจ้าเดินไปดูภาพเขียนที่ผนัง น่าแปลกมาก!
ภาพนั้นคือ ภาพวาดของตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง มีชื่อ.... ชัดเจน หน้าตาเหมือนข้าพเจ้าในปัจจุบัน เป็นภาพเล่าประวัติการเวียนว่ายตายเกิด การกระทำภาระหน้าที่ในแต่ละชาติ แม้กระทั่งชาติที่เกิดที่บ้านนาคู จังหวัดนครพนมก็มี ได้เดินดูจนรอบ ทั้งจดจำไว้เพื่อทำการพิสูจน์ต่อไป เรื่องราวนี้ขอสงวนไม่เขียนรายละเอียดเพราะไม่สมควร แต่ได้พิสูจน์แล้วเท่าที่จำมา ได้ไปดู ได้ไปเห็นหลักฐานที่มีอยู่ไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว มีความเป็นจริงตามภาพนั้น บอกได้อย่างเดียว ประวัติถูกบันทึกไว้ที่วิหารราย ณ ที่ปราสาทหลังนั้น น่าแปลกไหม?
ทั้งยังมีช่องว่างอีกมากมาย ไม่มีภาพเขียนไว้ หลวงพ่อบอกว่า “เขายังไม่บันทึก ต่อไปกาลข้างหน้าจะบันทึก” ข้าพเจ้าเขียนไว้ ไม่ให้ใครมาเชื่อ แต่ขอให้พิจารณาว่าโลกนี้มีอะไรน่าศึกษา ค้นคว้าเรียนรู้อีกมากมาย ไม่ใช่ที่เรารู้เห็นเท่านั้น ยังมีอะไรซ่อนเร้นอีกมาก มีอะไรที่ปกปิด อยู่เป็นความเร้นลับ ท้าทายให้ค้นคว้า แสวงหาความจริงที่รออยู่ เพื่อให้ทุกคนพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง อย่าฟังแต่คำบอกเล่า จากบันทึกของผู้พบเห็น เราเป็นตัวของเราเอง มีอิสระเป็นของเรา และเราก็มีเสรีภาพเป็นของเราที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชนนั่นแหละ
ทุกคนมีสิทธิจะคิด จะทำ จะพูด จะศึกษาเรียนรู้ จิตใจอย่าคับแคบ แต่ต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เรามีสิทธิเสรีภาพตามกฏเกณฑ์ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จึงจะได้ชื่อว่าเสรีภาพหรือเสรีประชาธิปไตย อันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของมวลมนุษยชาติ ฉะนั้น เราจะมาปิดกั้นตัวเราด้วยจิตใจอันคับแคบอยู่ทำไม? ไม่ลองไม่รู้ ไม่ดูไม่เห็น
เหมือนคำกล่าวที่ว่า “เราไม่อาจกลับมาในสถานที่ที่เราไม่ได้ไป เราไม่อาจไปถึงเมื่อเราไม่ไป เราไม่อาจไปที่อื่นได้เมื่อเรายังยืนอยู่อย่างนั้น เมื่อใจคับแคบก็จะไม่เห็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ ไม่พบโลกกว้างอันความพิสดารเหมือนกบที่ถูกกะลาครอบอยู่” หากเราไม่ไปเราจะไม่ค้นพบความจริงที่ท้าทายรอเราอยู่ ตัวเราคือเครื่องมืออันสำคัญ ที่เข้าไปค้นคว้าหาความจริงตราบเท่าโลกนี้ยังมีอยู่
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2010 เมื่อ 06:03
|