| 
				  
 
			
			"คราวนี้จะเห็นได้ว่า การที่พระองค์นำบริวารไปจำนวนมากนั้น  นอกจากจะเป็นการปราบพยศบุคคลทั่วไปที่มากด้วยทิฐิแล้ว ยังเป็นการดึงศรัทธาด้วย เพราะพระอาจารย์ใหญ่ขนาดนั้นยังยอมเป็นลูกศิษย์  แสดงว่าสิ่งที่ท่านสอนจะต้องมีผลอย่างแน่นอน 
 ดังนั้น..ทุกคนในที่นั้นจึงตั้งใจฟัง พระพุทธเจ้าจึงได้เทศน์  ครั้งเดียวบรรลุมรรคผลไปถึง ๑๑๐,๐๐๐ คน เป็นพระโสดาบัน  ส่วนที่เหลืออีก ๑๐,๐๐๐ นั้น ประกาศตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต  แปลว่าไม่หลุดรอดไปเลยแม้แต่คนเดียว..!
 
 หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาก็ตั้งมั่นในแคว้นมคธ   ลงรากปักฐานได้มั่นกว่าลัทธิอื่นทั้งหมด  ทั้ง ๆ ที่ประกาศพระศาสนาทีหลัง  เพราะว่าผู้ครองแคว้น ผู้ครองประเทศเป็นพุทธสาวก  ตรงนี้เราจะเห็นว่าของแท้เสียอย่าง อะไรก็ไม่สามารถบดบังรัศมีได้   ศาสดาอื่นใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่ลัทธิของตนเองจะมีคนถือตาม  แต่พระพุทธเจ้าใช้เวลาไม่ถึงปี ลงรากปักฐานอย่างมั่นคงแน่นหนา  สามารถแข่งกับลัทธิอื่นได้อย่างสบาย
 
 จะว่าไปแล้วพระพุทธศาสนาต่อยอดศาสนาพราหมณ์ได้พอดิบพอดี  สมัยนั้นพระพุทธศาสนาจึงได้รุ่งเรืองมาก  เพราะศาสนาพราหมณ์เขามัวแต่ถือลัทธิ ถือวรรณะกันอยู่  ก็เลยทำให้การเผยแผ่ศาสนาไม่กว้างไกลพอ
 
 ขณะเดียวกันก็สร้างความคับแค้นใจให้แก่วรรณะล่าง ๆ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพวกศูทรหรือจัณฑาลที่เขาแทบจะไม่เห็นเป็นคนเลย  แต่ศาสนาพุทธประกาศชัดเจนเลยว่า  มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีศักยภาพในการบรรลุมรรคผลทั้งสิ้น
 
 เห็นชัดที่สุดก็คำเทศน์ของพระมหากัจจายนะ  เรื่องวรรณะสี่เหล่า  ท่านบอกว่า  "วรรณะใดทำโจรกรรม ทำปรทาริกกรรม วรรณะนั้นต้องรับราชอาญาเหมือนกันทั้งหมด ไม่มียกเว้น" ลองไปค้นหาตรงนี้เพิ่มเติมได้จากมธุรสูตร"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2010 เมื่อ 16:48
 |