| 
				  
 
			
			"คราวนี้เราจะเห็นอัจฉริยภาพอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า  สมมติว่าแต่ละสำนักเป็นเสือ สิงห์ กระทิง แรด  ร้อยสำนักประชันขันแข่งกันอยู่  แล้วจู่ ๆ พระพุทธเจ้าก็โผล่ขึ้นมา ถ้าเป็นเรา คนอื่นเขาลงรากปักฐาน มีบริวารกันเต็มเมืองแล้ว ส่วนเราเพิ่งเกิดได้ไม่นาน จะทำอย่างไร ?
 พระพุทธเจ้าจึงต้องเสาะหาว่า จะมีใครเป็นพยานการรู้เห็นของพระองค์ท่าน พยานการรู้เห็นที่น่าจะง่ายที่สุดก็คือ  อาฬารดาบส กาลามโคตร และ อุทุกดาบส รามบุตร เพราะทั้งสองได้สมาบัติ  ๗ และสมาบัติ  ๘  ซึ่งมีอารมณ์คล้ายวิปัสสนาญาณมาก
 
 สมาบัติ ๗  ก็คือ  อากิญจัญญายตนะ  เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่คราวนี้ไม่ปลดในอารมณ์ ยังไปยึดเกาะอยู่ ส่วนสมาบัติ  ๘ คือ  เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่เอาอะไรแล้ว รู้ก็เหมือนไม่ได้รู้  เห็นก็เหมือนไม่ได้เห็น มีความรู้สึกก็เหมือนว่าไม่มี
 
 พอเล็งข่ายพระญาณไป  ปรากฏว่าอาฬารดาบส กาลามโคตร ตายไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  อุทกดาบส รามบุตร เพิ่งตายเมื่อวันนี้นี่เอง ถ้าพระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาตั้งแต่วันแรกที่บรรลุ  ก็จะทันพระอาจารย์ทั้งสอง แต่พระองค์ท่านเสวยวิมุตติสุขอยู่  ๔๙   วัน ทำให้เลยกำหนดไป เรียกว่าท่านอาจารย์ทั้งสอง บุญมีแต่กรรมมาบัง
 
 ในเมื่ออาจารย์ทั้งสองตายไปเกิดเป็นอรูปพรหม  ไม่สามารถที่จะมีอายตนะรับรู้หรือสื่อสารกับใครได้ พระองค์ท่านก็ต้องพุ่งเป้าใหม่ จะไปสอนคนทั่วไป..สมัยนั้นเขาก็ถือเนื้อถือตัวกันเต็มที่ โดยเฉพาะบุคคลที่โกนศีรษะ นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์  เขาจะถือว่าเป็นจัณฑาลหรือกาลกิณี จะไม่มีใครเข้าใกล้
 
 พระองค์ท่านก็นึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เชื่อถือศรัทธากันมาก่อน ถ้าไปประกาศธรรม  ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะรู้ได้ ก็เลยเดินทางจากอุรุเวลาเสนานิคม ไปยังป่าอิสิปตนมฤคาทายวัน เป็นระยะทางปัจจุบันอยู่ที่ ๒๓๐  กิโลเมตร
 
 พอไปถึง  ปัญจวัคคีย์ทั้ง  ๕  เชื่อว่า การตรัสรู้ธรรมจะเกิดขึ้นได้ด้วยการทรมานกายตามแบบของพราหมณ์อย่างเดียว  จึงไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว  พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสย้ำว่า  "ตถาคตเคยกล่าวว่าตนเองบรรลุธรรมมาก่อนหรือไม่ ?"
 
 ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่ออกมหาภิเนษกรมณ์ อยู่ร่วมกันมา ๖ ปีเต็ม ๆ ไม่เคยกล่าววาจาอะไรที่เป็นเท็จ  จึงได้ยอมเชื่อและน้อมใจรับฟัง "
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 30-01-2019 เมื่อ 00:18
 |