| 
				  
 
			
			พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เรื่องของคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ? เป็นคำถามโลกแตกมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว เขาก็พยายามแสวงหาคำตอบกันตลอดมา จนกระทั่งท้ายสุดสรุปลงตรงที่ว่า ต้องมีการหลุดพ้น   
 แต่ว่าการหลุดพ้นของแต่ละสำนัก เขาไม่สามารถที่จะลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้  แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีหนทางของตนเอง  อย่างเช่นว่า  ฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ เขาก็บอกว่าไปรวมอยู่กับปรมาตมัน  ปรมาตมัน คือ พลังงานอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ซึ่งจะเป็นที่รองรับจิตวิญญาณทั้งหมด ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ ก็ว่าเขาจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า
 
 แต่ท้ายสุดพระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบจริง ๆ  ว่า  มีสถานที่ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง  เพียงแต่ว่าการจะไปซึ่งสถานที่นั้น  จะต้องอยู่ในลักษณะเป็นผู้ที่ปล่อยวาง ไม่เอาอะไรไปเลย ลักษณะเหมือนกับว่าในเมื่อไม่เอาอะไร  ท้ายสุดคุณก็จะได้สิ่งนั้น
 
 อย่างพราหมณ์ฮินดู  เกิดก่อนศาสนาพุทธหลายพันปี แต่ก็ยังคงตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่  จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ท่านก็สรุปรวมว่า บรรดาลัทธิต่าง ๆ ที่พวกพราหมณ์เขาสอนถึงวิธีการหลุดพ้น มีถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน ที่เขาเรียกว่าเป็น ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ มีอยู่  ๑๘  ลัทธิ อปรันตกัปปิกทิฏฐิ อีก  ๔๔  ลัทธิ
 
 ตอนแรกที่ศึกษาอยู่  อ่านพระไตรปิฎกมีความสงสัยว่า ในเมื่อลัทธิต่าง ๆ เหลวไหลขนาดนั้นทำไมคนจึงเชื่อ ?   อย่างครูทั้ง  ๖  ได้แก่  มักขลิโคสาล  ปูรณะกัสสปะ อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร
 
 ถ้าลัทธิเหลวไหลขนาดนั้นทำไมคนจึงเชื่อ ?   ปรากฏว่าพอไปศึกษาในพรหมชาลสูตรแล้ว  ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล  เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นรู้ไม่ครบ
 
 ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิทั้ง  ๑๘  ลัทธิ  เขาสามารถระลึกชาติได้   ระลึกย้อนชาติได้ตั้งแต่แสนชาติขึ้นไป  จนกระทั่งถึงหลายสิบกัป  ก็เลยตั้งลัทธิของตนเองขึ้นมา จะมากจะน้อยก็ตามแต่ที่ตนเองรู้เห็น  แล้วสามารถยืนยันได้ เขาจึงเชื่อกัน
 
 ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐิยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะเขาเห็นอนาคต ในเมื่อเขาเห็นอนาคต เขาจึงบัญญัติว่าโลกเที่ยงบ้าง ไม่เที่ยงบ้าง  มีทั้งเที่ยงบ้างและไม่เที่ยงบ้างให้ยุ่งกันไปหมด  เพราะแต่ละคนรู้เห็นยาวสั้นไม่เท่ากัน เราจึงเข้าใจได้ว่าแต่ละคนที่จะมาเป็นเจ้าสำนักจริง ๆ ล้วนแล้วแต่มีความสามารถทั้งนั้น เพียงแต่ว่ารู้ไม่ครบเท่าพระพุทธเจ้าเท่านั้น"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2010 เมื่อ 03:09
 |