ในส่วนที่กล่าวถึงนี้ อยากจะบอกต่อไปอีกว่า ถ้าหากว่าตราบใดที่กำลังใจของเรา  ยังไม่สามารถที่จะละ รัก โลภ โกรธ หลง บางส่วนไปได้  บางทีการตัดสินใจในหน้าที่การงานต่าง ๆ เราก็จะทำไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เต็ม ๆ   ซึ่งโอกาสเสียก็จะมีมากกว่าดี  เพราะว่าเป็นการใช้อารมณ์มากกว่าใช้เหตุผล    
 
จากที่คิดว่าเราแน่  อยากมีงานรับผิดชอบเร็ว ๆ มาตอนนี้พยายามเลี่ยงการรับผิดชอบให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  กลายเป็นคนละอารมณ์กัน 
 
พอออกจากวัดท่าซุงมา  ทางวัดต้องหาพระไปแทนที่อาตมาทำงานซึ่งอยู่คนเดียว  ไม่มากไม่มาย แค่ ๕ ท่านเท่านั้นเอง..!  ก็เลยสงสัยว่านี่อาตมารับงานไว้เยอะขนาดนั้นเลยหรือ ?  จากงานที่เราเคยทำ  ที่รู้สึกว่าคนเดียวก็ไม่เกินกำลัง  กลายเป็นว่าต้องใช้ถึง ๕  คน ถึงมารับผิดชอบงานนั้นได้    
 
การทุ่มเทให้กับงาน  เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งว่า กำลังใจของเราเข้าถึงธรรมมากน้อยเท่าไร  ถ้ายังไม่ทุ่มเทจริงจัง ยังกลัวเหนื่อย ยังกลัวลำบากอยู่  ก็แปลว่ากำลังใจเรายังรักยังห่วงร่างกายนี้อยู่มาก ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมจริง ๆ ก็ยาก    
 
ฉะนั้น..กลับไปใหม่  งานที่เคยรับผิดชอบลองกลับไปทุ่มให้เต็ม ๆ เสียที  ให้เอาอย่างทหาร  เขาปฏิญาณตนอยู่ทุกวัน เช้า ๆ เย็น ๆ ทหารเขาต้องตะโกนว่า "ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่ ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ไหว ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ทัน"  
 
ตะโกนอยู่ทุกวัน ตะโกนจนซึมเข้าเนื้อไปเลย จนกระทั่งมารู้สึกว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง  ลักษณะนี้เป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ  ตะโกนกรอกหูอยู่ทุกวัน เลยพลอยคิดว่าเราทำได้จริง ไปลองสะกดจิตตัวเองอย่างนี้ดูบ้างสิ 
 
 
พระครูธรรมธรเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ 
เทศน์ช่วงบ่าย  ณ  บ้านอนุสาวรีย์ 
วันอาทิตย์ที่  ๖  มิถุนายน  ๒๕๕๓
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2015 เมื่อ 12:39
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |