| 
				  
 
			
			พระอาจารย์กล่าวถึงการเดินทางไปที่บึงลับแลในช่วงที่ผ่านมา  แล้วสอนว่า  "พอคนเราเหนื่อยมาก ๆ เหนื่อยแทบปางตาย  ส่วนใหญ่จะลืมความดีหมด  ไปนึกอยู่แต่อาการเฉพาะหน้าของตัวเอง  ลักษณะอย่างนั้นถ้าตายไปโอกาสจะไปดีนั้นมีน้อย  ต้องเกาะความดีได้ทุกเวลา  ไม่ใช่พอถึงเวลาหอบแฮ่ก ๆ  แล้วก็นึกถึงแต่ความเหนื่อย  
 ไม่ว่าสถานการณ์ไหน  จะต้องจับภาพพระหรือคำภาวนาตลอด จะเห็นได้ว่าอาตมาหิ้วข้าวของเข้าไปให้พวกเราได้  ไม่เห็นมีอะไร..แค่น้ำแข็งกระติกเดียว ภาวนาคาถาเงินล้านครบหนึ่งจบก็เปลี่ยนมือที่ถือกระติกเป็นอีกข้างหนึ่ง  ใช้วัดตัวเองได้ด้วย นอกจากไม่เมื่อยแล้วยังได้สมาธิภาวนาอีกต่างหาก
 
 อาตมาไปในลักษณะที่คนอื่นเห็นว่าช้าแต่ไปเร็ว  ลักษณะอย่างนั้นนี่ต้องซ้อมให้ชิน พอชินกับการภาวนา ชินกับการเดินแล้ว ก้าวแรกกับก้าวสุดท้ายของเราจะก้าวยาวเท่ากัน  กำลังใจตั้งแต่ต้นทางและปลายทางจะทรงตัวเท่ากัน
 
 ตอนที่อยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก ไปเดินบิณฑบาต ทางป่าไม้เขาให้คนงานไปช่วยหิ้วปิ่นโตหิ้วกับข้าว  หิ้วไปหิ้วมาเขาก็หายกันไปหมด หัวหน้าคนงานก็ไปด่าลูกน้อง ลูกน้องก็บอกว่า  "ไม่เอา ไปกับอาจารย์เดินไม่ทัน เหนื่อยฉิบ..เลย"  เขาก็สงสัย  ทำไมพวกนั้นบอกว่าเดินไม่ทัน เพราะพวกนั้นเดินเขาต้องวิ่งตาม..!
 
 เราก็เดินภาวนาไปเรื่อย ๆ  พอเพลินกับการภาวนาก็ลืมเหนื่อย แต่คนทั่ว ๆ ไป พอเหนื่อยขึ้นมาก็จะคิดแค่ตรงที่ตัวเองเหนื่อย  ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ กลายเป็นซ้ำเติมตัวเอง"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-06-2010 เมื่อ 02:24
 |