สมเด็จองค์ปฐม ก็ทรงเมตตามาสอนต่อให้ มีความสำคัญ ดังนี้
๑. เมื่อเจ้ารู้ตัวว่าเลว ก็จงหมั่นละ การกระทำนั้นเสีย เพราะเป็นจิตชั่ว จิตบาป หมั่นแก้ที่ตนเอง แก้ที่อารมณ์เกาะยึดร่างกาย ทั้งภายในและภายนอกลงเสีย ตัวนี้เกิดขึ้นได้เพราะจิตเจ้ายังยึดว่า ร่างกายมีในเขาในเรา เป็นสักกายทิฏฐิ จงพิจารณาทุกข์ และโทษของอารมณ์นี้ แล้วหมั่นละเสียให้ได้ซึ่งอารมณ์เหล่านี้
๒. เมื่อพิจารณาร่างกายคนและสัตว์ว่าเสื่อมสกปรกแล้ว จงหมั่นพิจารณาทุกข์ และโทษของการมีร่างกายอยู่เนือง ๆ ด้วย
๓. ให้หมั่นกำหนดรู้ว่า กฎของกรรมอันใด ทำให้เกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์และสกปรกนี้ด้วย เจ้าจักเห็นอารมณ์โมหะ โทสะ ราคะ ที่เป็นเหตุให้เกิดร่างกาย
๔. เจ้าจงทำการกำหนดรู้ทุกข์แห่งอารมณ์นั้น ๆ พิจารณาละอารมณ์ที่เป็นเหตุให้เกิดร่างกายนี้อยู่เนือง ๆ จิตเจ้าจักได้คลายจากการเห็นร่างกายนี้ว่าเป็นเขาเป็นเราลงได้
๕. และหมั่นพิจารณาการท่องเที่ยวไปในวัฏฏะอันหาที่สิ้นสุดมิได้ โดยอาศัยจิตจากความสงบเป็นปัจจัย เป็นการระงับอารมณ์ที่ชอบส่งจิตออกนอกกายเสีย
๖. กิจธุระของพระพุทธศาสนา สำเร็จได้ที่จิตอุปธิวิเวก อุปธิปัญญาเป็นตัวนำ กล่าวคือจิตสงบเป็นจุดแรก มโนกรรมหรือวจีกรรมก็สงบตาม กายกรรมก็ย่อมสงบด้วย จิตก็จักเกิดปัญญารู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรม ยอมรับทั้งธรรมที่เป็นกุศล ยอมรับทั้งธรรมที่เป็นอกุศล ยอมรับทั้งธรรมที่เป็นอัพยากฤต ยอมรับกฎของธรรมดา
๗. จิตบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ก็เห็นธรรมบริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่มีการปรุงแต่งมากขึ้นเท่านั้น
๘. เมื่อจิตยอมรับกฎของกรรม การจักไปตำหนิกรรมก็ไม่มี กรรมใด ๆ จักเกิดแก่กาย วาจา ใจก็ไม่มี จิตของผู้ปฏิบัติได้ถึงกาย วาจา ใจบริสุทธิ์ จึงหมดกรรม ไม่มีการต่อกรรมไปในวัฏฏะสงสารได้อีกต่อไป จึงพ้นสมมุติ คือ จิตถึงซึ่งวิมุติแล้วอย่างแท้จริง บุคคลผู้นั้นเข้าถึงพระอรหันตผล เป็นบุคคลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนานั่นเอง
๙. เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจงจำไว้ ธรรมทุกข้อที่ตรัสมาล้วนเป็นหนทางที่พ้นทุกข์ทั้งสิ้น จักทำได้แค่ไหน ก็อยู่ที่จิตของพวกเจ้าเอง เพราะตถาคตเป็นเพียงผู้บอก พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ก็ตรัสมาเช่นนี้ทุก ๆ พุทธันดร อักขาตาโร ตถาคตา จงหมั่นใคร่ครวญให้มาก ๆ
|