สรุปยอดเงินทำบุญถวายน้ำมันตามประทีป ๒๘,๕๗๕.๔๔ บาทครับ
วันนี้กระผมได้สั่งซื้อ น้ำมันมะพร้าวตรากระต่ายขาวจำนวน ๔๗ ปี๊บ เรื่องที่น่าตกใจคือ ราคาปรับเป็น ๖๒๓ บาทต่อปี๊บ แต่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสบุญ ก็คือกระผมจะได้ร่วมทำบุญเพิ่มเติมอีกครับ
พรุ่งนี้กระผมต้องขนน้ำมันทั้งหมดขึ้นท้ายรถกระบะ นำไปถวายท่านบนเขา การเตรียมงาน หรือหากจะพูดถึงการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุนั้น โดยเฉพาะวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแล้ว ต้องมีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการจัดเตรียมทำความสะอาดสถานที่ การทำความสะอาดโคมแก้วประทีปแต่ละดวง หลวงพี่ท่านสอนเสมอว่า
"แก้วที่สะอาดโยมจะเห็นว่า เวลาตามประทีปนั้น แสงจะนวลสว่างใสสะอาดตา สะอาดใจ สำคัญนะโยม ได้อานิสงส์มากด้วย" กระผมเลยถือโอกาส ถวายโคมแก้วจำนวน ๑ โหล ก็ขอทุกท่านร่วมโมทนาครับ
งานทุกอย่างหลวงพี่ท่านจะลงมือทำเอง จะมีลูกมือช่วยบ้างก็ตามแต่ว่าใครจะว่างขึ้นมาช่วย งานนี้เก้าคืน ก็ถือเป็นโอกาสพิเศษที่จะเร่งปฏิบัติภาวนา ช่วงนี้กระผมตื่นขึ้นไปปฏิบัติบนเขาตั้งแต่ตีสี่ สังเกตอารมณ์ใจหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า แต่ละวันที่ไปนั่งสมาธินั้น
วันไหนวันพระหลวงพี่ท่านตามประทีปครบทุกดวง อารมณ์ใจที่นั่งภาวนากลางศาลาที่ตามประทีปก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง วันไหนที่หลวงพี่ตามประทีปแค่รอบ ๆ พระประธานอารมณ์ในการภาวนาก็เป็นอีกแบบ
หลวงพี่ : "โยมนี่ถือว่ามายุคหลัง ๆ แล้ว เมื่อก่อนตอนทุ่มตรง หลวงพี่ต้องให้ญาติโยม ออกจากศาลาให้หมด ช่วงนั้นยุคบุกเบิก ความเป็นทิพย์ตรงนี้เขายังดุอยู่...แต่ถ้ากลางค่ำกลางคืนโยมจะขึ้นมาภาวนาก็มาได้ตามสะดวกเลยนะ มาเถอะถึงเวลาของโยมแล้ว ตั้งใจปฏิบัติได้แล้ว"
ทัดฤทธิ์:
และแล้วคืนหนึ่ง ช่วงตีห้ากว่า ๆ ช่วงที่กำลังภาวนา "แบบเข้าด้ายเข้าเข็ม"
ซวบ! ซวบ! ซวบ! เสียงเหมือนฝีเท้าคนเดินแล้วก็หยุด ดังอยู่ในเขตแนวป่าทางด้านขวามือของผม ซึ่งปกติบางทีผมเกิดอารมณ์แบบอยากจะลองใจตัวเอง แทนที่จะนั่งหลับตา ผมก็ภาวนาแบบลืมตาแทน มองไปที่แนวต้นกล้วยป่า ซึ่งอยู่ข้าง ๆ แนวหน้าต่างบานใหญ่ ความมืดกับกอกล้วยกอใหญ่ แล้วอาบด้วยแสงจากดวงประทีปที่ส่องออกไป "โอ้...."มันพาจิตนาการกระเจิดกระเจิงไปต่อไหนถึงไหน "จิตที่ส่งออกแบบไร้สติ" อันนี้หลวงพ่อท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่าไม่ดี
แถมในใจยังคิดแบบขาดสติอีก "ออกมาสิ พ่อจะเป็นลมให้ดู" แต่แล้วก็ไม่เจออะไรสักที แต่วันนี้เจอเสียงฝีเท้าเข้าไป อารมณ์มันกระเจิงเลย ต้องรีบดึงกลับมาให้อยู่กับคำภาวนา เอาความนิ่งกับคำภาวนาเข้าข่ม อยู่ ๆ มันก็มีเสียง แกรก ๆ ดังขึ้นอีก แล้วก็เงียบไป
ช่วงไม่กี่คำภาวนา ก็มีเสียงเหมือนคนเอาอะไรเคาะถังพลาสติก......แทนที่จิตมันจะกระเจิงคราวนี้มันกับดิ่ง "ในใจก็คิดไปว่า ตายก็ตายวะ หมามันยังไม่กลัวผีเลย แถมคาบเอากระดูกผีมาแทะกินอีก อายหมาบ้างสิ" อยู่ ๆ ในจิตมันก็มีตัวสติขึ้นมาแบบไม่คาดคิด มันลำดับเหตุการณ์ออกหมด จนรู้แน่ว่า เป็นเสียงของพม่าที่เดินกรีดยางและเก็บน้ำยาง อยู่บริเวณใกล้แนวเขตศาลานั้นเอง
เล่ามาเนิ่นนาน อยู่ ๆ ระบบความคิดมันตัดลงแบบดื้อ ๆ เข้าไปสู่ความนิ่ง แถมจิตมันรู้ขั้นตอนด้วยว่ามันตัด ตอนนี้เป็นแบบนี้บ่อยมากครับ
"นิ่งเป็นตัด ขยับเป็นพิจารณา"