พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ความดับกองทุกข์ได้ทั้งหมดคือพระนิพพาน
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ถูกแล้ว
ม. ดับอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าพระนิพพาน
น. ดับจนหาเชื้อที่จะก่อให้ลุกลามอีกไม่ได้ จึงจะชื่อว่าพระนิพพาน
ขอถวายพระพร อันผู้ที่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่ผ่านมาย่อมถูกความทุกข์เผาผลาญให้หม่นไหม้
ส่วนบุคคลที่มีใจหนักแน่น แม้จะมีอารมณ์ที่ร้อนรนมากระทบ ก็ไม่ปล่อยใจให้หมกไหม้อยู่ในกองทุกข์เช่นนั้น
ย่อมดับเสียได้ด้วยคิดเห็นว่า คติของธรรมดามีอยู่อย่างนั้น จนอารมณ์ร้อนมอดลงไปเอง (นิโรธนิพพานปัญหา)
ม. ถ้าเช่นนั้น บุคคลที่มีใจหนักแน่นย่อมได้พระนิพพานด้วยกันทุกคนหรือ
น.ได้เฉพาะผู้ที่เดินถูกทางเท่านั้น
ม. การเดินถูกทางนั้นกระทำอย่างไร
น. การเดินถูกทางนั้น เบื้องต้นต้องทำความเห็นให้ตรงเสียก่อน คือให้เห็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และทางเดินไปดับทุกข์ ว่า มีอยู่อย่างไร
จากนั้น จึงใช้ความเห็นชอบนี้นำความคิด คำพูดและการกระทำให้เดินตรงไป ขณะเดินก็ต้องพยายามนึกมุ่งต่อที่ ๆ หมายไว้ให้แน่วแน่อยู่ที่เดียว
ขอถวายพระพรผู้ที่เดินถูกทางเช่นนี้ ย่อมได้พระนิพพาน (นิพพานนลภนปัญหา)
ม. ฐานะที่บุคคลซึ่งประสงค์จะเดินถูกทางต้องตั้งอยู่นั้น มีหรือไม่ และถ้ามีเป็นอย่างไร
น. มี ฐานะนั้นได้แก่ ศีล เมื่อบุคคลตั้งมั่นอยู่ในศีลแล้ว กระทำใจโดยอุบายอันแยบคาย แม้ว่าจะอยู่ในที่ใด ๆ
ก็ย่อมจะกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ (นิพพานปัฏฐานปัญหา)
ม.จะกระทำพระนิพพานให้แจ้งนั้น กระทำด้วยอาการอย่างไร
น. ขอถวายพระพร พระนิพพานเป็นธรรมสงบระงับ มีความสุขอย่างประณีต ผู้ปฏิบัติชอบพึงพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
โดยย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ด้วยปัญญา
การที่จะกระทำพระนิพพานให้แจ้งนั้น ต้องพิจารณาความเป็นไปของสังขารทั้งหลาย คือความเกิดและความดับ จนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดจะยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้ในสังขารเหล่านั้น
ครั้นแล้วย่อมบังเกิดความหน่ายในภพทั้ง ๓ (คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ)
เมื่อบุคคลกระทำการพิจารณาเช่นนี้อยู่เนือง ๆ จิตย่อมหมดความยินดีที่จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไป รวมทั้งย่อมเลื่อมใสในความระงับดับสังขารตลอดจนความระงับในเหตุคือ กิเลสตัณหาทั้งหลาย เมื่อประคองจิตเช่นนี้ให้มั่นด้วยสติและวิริยะจนพระอริยมรรคบังเกิด เมื่อนั้นย่อมเรียกได้ว่า บุคคลกรทำพระนิพพานให้แจ้ง (นิพพานสัจฉิกรณปัญหา)
ม.เข้าใจละ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 23-04-2009 เมื่อ 23:49
|