| 
				  
 
			
			"ถ้าว่ากันถึงเรื่องสายการปฏิบัติในศาสนาพุทธของไทยเรา  จริง ๆ  แล้ว ทั้งหมดก็มาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น  เพียงแต่ว่าบุคคลที่เป็นต้นสายท่านถนัดแบบไหน  ท่านก็นำจุดนั้นมาสอน คนอื่นต่างหากเล่าที่ไปกำหนดว่าเป็นสายนั้นสายนี้    
 เมื่อกำหนดแล้วว่าเป็นสายนั้นสายนี้  บรรดาลูกศิษย์ก็ยึดมั่นถือมั่น  ถ้าหากไปเจอคนละสาย  ก็เริ่มมีการกระทบกระทั่งกัน ในลักษณะของกูดีกว่า ของมึงใช้ไม่ได้ กลายเป็นว่า บางทีท่านผู้เป็นต้นสายเกิดมาก็ไม่เคยเจอกันเลย แต่ลูกศิษย์ทะเลาะกันไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร  อยากจะบอกว่าต้นสายท่านไม่เคยมีปัญหากัน มามีปัญหากันตรงบรรดาลูกศิษย์เอากิเลสไปชนกัน
 
 เรื่องของการเมืองก็ลักษณะเดียวกัน เพราะความเชื่อต่างกัน  ก็เลยมีประเภทแฟนพันธุ์แท้ของพรรคนั้นบ้างพรรคนี้บ้าง แล้วพวกนี้กระทบไม่ได้  ขนาดในห้องเรียนของอาตมา พระเรียนอยู่ล้วน ๆ ยังมีปัญหาเรื่องพรรคการเมือง
 
 ต้องบอกว่า  ตราบใดที่เรายังไม่สามารถเห็นคนอื่นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างแท้จริง  ก็จะอดแบ่งแยกไม่ได้    ในหลวงของเรารักประชาชนทุกคน เพราะว่าทุกคนคือพสกนิกรของพระองค์ท่าน  เปรียบเหมือนกับลูก  ลูกจะดีหรือว่าจะเลว คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องให้การสงเคราะห์เป็นปกติอยู่แล้ว
 
 พระพุทธเจ้าทรงมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะว่าท่านรักสัตว์โลกทั้งหมด  ท่านเห็นว่าสัตว์โลกทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า  ถ้าส่วนไหนสามารถช่วยเหลือได้  พระองค์ท่านเต็มใจให้การช่วยเหลือ  นั่นจัดเป็นอัปปมัญญาพรหมวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งใหญ่จนเราประมาณไม่ถูก ว่าทำไมคน ๆ หนึ่งถึงมีความรักต่อสรรพสัตว์ได้ทั่วหน้าขนาดนี้
 
 ไม่ว่าจะเป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี  ของในหลวงก็ดี  ทำอย่างไรที่เราจะใช้กำลังใจเหล่านั้นกับตัวเราเองได้บ้าง  ไม่อย่างนั้นแล้ว บางทีขนาดของเหลือของเสียทิ้งแล้วยังฆ่ากันตายเลย"
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2010 เมื่อ 15:33
 |