อยากจะไปจากวัด
ตอนนั้นทางวัดยังไม่มีมณฑปหลวงปู่ขนมจีน ยังไม่มีมณฑปพระสีวลี วันนั้นอาตมาเองเพิ่งจะบวชได้ไม่กี่วัน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "เฮ้ย..เอ็งไปช่วยวัชรชัยเตรียมกระถางธูปเชิงเทียนไว้ตรงทางด้านมุมหลังขวาโบสถ์สักชุดหนึ่ง ตรงนั้นเป็นที่อยู่ของหลวงปู่ขนมจีนท่าน ถ้าหากใครไปไหว้ไปบนท่านจะได้มีที่"
เราก็ไปค้นกระถางธูปเชิงเทียนมา ปรากฏว่าเก่ามาก เขียวปี๋เลย ก็มานั่งขัดกับหลวงตา ขัดไปขัดมา รู้สึกปากคัน "นี่ถ้าขึ้น ๗ ตัว จะซื้อจริง ๆ นะนี่" (ตอนนั้นหวยมี ๗ ตัว) หลวงตาท่านก็ดุว่า "ไอ้นี่ทะลึ่ง ไม่รู้เวล่ำเวลา"
ทันทีที่ตัวเองพูดอย่างนั้นจบ ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า เราทำอะไรที่ไม่สมควร เป็นพระไม่น่าจะขาดสติขนาดนั้น เราไม่สมควรที่จะอยู่ในผ้าเหลือง ควรจะไปซะ พูดง่าย ๆ ว่าความรู้สึกบอกว่าอยากจะสึก แต่คราวนี้เหมือนไม่ใช่ความคิดของเรา เป็นความคิดของใครที่แทรกเข้ามาให้เรา ก็เลยคิดว่าช่างมัน
พอขัดกระถางธูปเสร็จ ตั้งโต๊ะหมู่ ตั้งกระถางธูปเชิงเทียนเรียบร้อย ก็ไปสรงน้ำ เตรียมทำวัตรเย็น ความรู้สึกอยากจะไปให้พ้นจากวัด อยู่วัดไม่ได้ ก็แรงขึ้น ๆ แรงจนเรารู้สึกว่า ถ้าเราเป็นเขื่อน ก็รับน้ำเต็มที่แล้ว เกินกว่านั้นอีกหน่อยเขื่อนแตกแน่นอน
ตอนทำวัตรเย็นและตอนทำกรรมฐานอยู่ ก็ร้อนรุ่มไปหมด ปกติเลิกจากทำวัตรก็จะไปฉันน้ำที่ใต้หอระฆังกับพี่ ๆ น้อง ๆ แต่วันนั้นหงุดหงิดจนทำอะไรไม่ได้ ก็เลยเข้ากุฏิ อารมณ์ก็ไม่หาย รู้สึกร้อนไปหมด อยากจะไปให้พ้นอย่างเดียว คราวนี้เรารู้ว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่เรา เราก็สู้ นิสัยตัวเองไม่ค่อยถอยให้ใครหรอก
ตอนแรกก็เดินภาวนา เดินไปเท่าไรความรู้สึกก็ไม่ลดลงสักที ก็เลยเปลี่ยนเป็นวิ่ง วิ่งไปก็พยายามจับอารมณ์ภาวนาไป หมดแรงหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอารมณ์อยากจะไปก็มาอีกแล้ว เดินบิณฑบาตก็มีความรู้สึกอยู่ตลอดว่า เราทำในสิ่งที่ไม่สมควร เราไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ควรจะไปจากที่นี่หรือไม่ก็สึกหาลาเพศไปเลย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-04-2010 เมื่อ 15:19
|