๔. ขณะบันทึก น้ำตาก็ไหลไปด้วยความปีติในธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงพระกรุณามาสั่งสอนให้ ทรงตรัสว่า เจ้าต้องช่วยตนเองเร่งรัดความเพียร การมานิพพานได้ ต้องพึ่งตนเองเท่านั้น ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกนะเจ้า แต่ไม่สามารถบันดาลให้ใครเข้าพระนิพพานได้ การจบกิจในพระพุทธศาสนา ต้องปฏิบัติความเพียรด้วยตนเองทั้งสิ้น การชี้ การแนะ การนำให้เห็นพระนิพพาน ตถาคตย่อมทำได้ด้วยพุทธบารมี แต่การมาได้หรือไม่ได้นั้น เป็นหน้าที่ของเหล่าพุทธสาวกจักพึงทำได้เอง หวังว่าเจ้าคงจักเข้าใจ
ตอบว่า เข้าใจพระพุทธเจ้าค่ะ
เมื่อเข้าใจ ก็จงหมั่นตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อยังมรรคผลนิพพานให้เกิดเถิด
๕. อย่าลืมเตือนสติของตนเองไว้เสมอ ๆ มรณานุสติรุกเจ้าอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ในขณะจิตนั้นชีวิตของการเป็นมนุษย์มีสิทธิ์ที่จะพลัดพรากจากเราไป
๖. การเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบพระธรรมคำสอนโดยอริยสาวกเยี่ยงท่านฤๅษีนั้น นับเป็นอุดมมงคลอย่างหาได้ยากยิ่งนัก เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจักมิพึงประมาท ปล่อยปละละเลยให้จิตว่างจากความดี หากปล่อยให้จิตตกอยู่ในความเลว อารมณ์เลวเข้ามาสิงจิต มีความคิดในอารมณ์ทุกข์-สุข ตายไปก็ไปค้างอยู่พรหมโลก-เทวโลก-อบายภูมิ ๔ กลับมาเป็นมนุษย์ใหม่ ก็ต้องกลับมาเสวยทุกข์ เกิดดับอยู่ต่อไปอีกนับกาลนาน มันดีนักหรือ
๗. เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาท การปฏิบัติธรรมมาถึงจุดนี้แล้ว ต้องทำกำลังใจในบารมี ๑๐ ให้เข้มแข็ง อย่าแชเชือน ต้องหมั่นสอบอารมณ์จิตให้จริงจัง ปฏิบัติธรรมโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย เพื่อมรรคผลนิพพาน
๘. แต่พวกเจ้านั้นยังมีทุกข์ของกายอยู่ ต่างกับพรหม เทวดา นางฟ้า ที่ท่านเป็นพระอริยะ ทุกข์ของกายยังฉุดพวกเจ้าอยู่ บีบบังคับให้เสวยเวทนาทุกข์-สุข ไม่ทุกข์-ไม่สุขกับมันอยู่อย่างนั้น อารมณ์เวทนายังฉุดจิตพวกเจ้าให้ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในภพชาติต่าง ๆ อยู่ เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจงอย่าประมาทเป็นอันขาด โอกาสได้มีน้อยกว่าพรหม เทวดา นางฟ้า แต่ถ้าเร่งความเพียรให้ถูกหลัก พวกเจ้าที่ยังเป็นมนุษย์นี่แหละ สามารถกอบกิจให้รวดเดียว มิต้องมาต่อระลอกสองบนเทวโลก พรหมโลกอีก หมั่นเตือนสติของตนไว้เสมอ ๆ ระวังชีวิตจะปิดฉากก่อนจบกิจแล้วจักเสียใจ จงอย่าประมาทเป็นอันขาด"
|