พวกเราทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสร้างความสุขในปัจจุบันให้กับตัวเอง ก็คือใช้อำนาจสมาธิสะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นค่อยไปพิจารณา ไปตัด ไปหั่นกันอีกทีด้วยปัญญา
แต่ว่าอันดับแรกเลยก็คือความสุขในปัจจุบัน ถ้าซักซ้อมจนกระทั่งคล่องตัว นึกจะเข้าเมื่อไรก็ได้ ก็พอที่จะประกันว่าจะมีความสุขในอนาคต ก็คือต้องมีสุคติภูมิเป็นที่ไป แต่ว่าพวกเรามาปฏิบัติธรรม เพื่อหวังประโยชน์สุขสูงสุด ก็คือ หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน จึงเป็นเรื่องที่ลำบากกว่าคนอื่นเขาหลายเท่า..!
พวกเราส่วนใหญ่สวดมนต์ปาว ๆ ไปแล้วก็ปล่อยเลยไปเฉย ๆ ลองดูในปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณ์ ที่เราสวดกันอยู่ทุกบ่อยที่ว่า "คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ ? เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ กับเพื่อนฝูง บวช ๓ วัน ทรงฌาน ๔ ได้กันหมดแล้ว..! พวกเราเองล่อกันมาหลายเดือนบ้าง เป็นพรรษาบ้าง หลายปีบ้าง ก็แปลว่าที่เราทำนั้นก็คือทำขาด ทำไม่ถึง โอกาสที่จะทำเกินแบบพระโสณโกฬิวิสเถระนั่นเป็นเรื่องยากมาก เพราะว่าในพระไตรปิฎกก็รู้สึกจะมีท่านเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่ทุ่มเทกับการทำความเพียรจนกระทั่งเท้าแตกเลือดนอง เดินต่อไม่ได้ก็คลานไป มือแตก เข่าแตก ไปต่อไม่ได้ก็เอาคางเกาะพื้นขยับไป เป็นรายเดียวที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ลดความเพียรลงมาให้พอเหมาะพอดี ถึงจะได้มรรคได้ผล ส่วนพวกเราไม่ต้องคิดอะไรมาก เพิ่มอย่างเดียวเลย เพียงแต่ว่าอย่าเพิ่มความเพียรเฉย ๆ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย
โดยเฉพาะหลายต่อหลายท่าน ถึงเวลาเราสมาทานพระกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศล ก็ "ขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด" ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง..! เนื่องเพราะว่าการที่เราจะไปพระนิพพานได้ เราต้องเห็นทุกข์อย่างชัดเจน แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง แต่คราวนี้เราไปตั้งเป้าแล้วว่าเราจะไปพระนิพพาน แต่ไม่ยอมใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา ให้เห็นว่าทุกอย่างรอบข้างเรามีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:23
|