ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า เมื่อวานนี้, 23:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,610
ได้ให้อนุโมทนา: 160,888
ได้รับอนุโมทนา 4,523,647 ครั้ง ใน 37,226 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประเภทที่ ๒ เป็นการจับจองสถานที่ นั่งขออยู่กับที่ ใครเดินผ่านไปก็ร้องเรียก "มหาราชา" "มหารานี" โปรดสงเคราะห์ด้วย ประมาณนั้น พวกเราทั้งหลายก็อย่าได้คิดไปหลงคารมว่า เป็นมหาราชาหรือมหารานี แล้วไล่แจกไปเสียหมด เนื่องเพราะว่าคนทั้งหลายเหล่านี้นั้น มีการจับจองสถานที่เป็นเขตเฉพาะของตน มีความดีอยู่ตรงที่ว่า ร้องขออยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน

ประเภทสุดท้าย คือประเภทที่นักท่องเที่ยวรำคาญที่สุด ก็คือเดินตามเบียด เดินขอ เดินกระแทกไหล่เรามาเลย ในลักษณะที่ว่า "๕๐ รูปี" บ้าง "๑๐๐ บาท" บ้าง "๒๐ บาท" บ้าง ตามแต่ที่เขาจะพูดภาษาได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้เขาปรับตัวได้เร็วมาก หลายคนก็อยู่ในลักษณะว่า "อาจารย์มาแล้วพรุ่งนี้ จำได้ ๆ" ซึ่งกระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า เอ็งพูดให้ถูกหน่อยว่า "อาจารย์มาแล้วเมื่อวาน" ไม่ใช่ "อาจารย์มาแล้วพรุ่งนี้" แต่ถ้าขืนไปแก้ไขให้ เดี๋ยวก็จะขอพวกเราหนักขึ้นไปอีก..!

ขอทานในประเทศอินเดีย - เนปาลเท่าที่ได้ข้อมูลและสังเกตมาก็มี ๓ ประเภทดังที่ว่ามานี้ แล้วเหตุหนึ่งที่ไม่คิดจะให้เลยก็คือว่า พวกเขาทั้งหลายขอทานเป็นอาชีพ ท่านเจ้าคุณกอล์ฟเคยสอบถามบุคคลที่เริ่มมักคุ้นกันแล้ว ปรากฏว่าเด็ก ๆ ทั้งหลายที่ไม่เรียนหนังสือ ไม่ทำการทำงานอื่น แต่มารอนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวพุทธของไทยนั้น แต่ละปีรายได้อยู่ประมาณ ๖๐,๐๐๐ - ๗๐,๐๐๐ รูปี..! เฉลี่ยประมาณเดือนละ ๕,๐๐๐ กว่ารูปี แปลว่า
เขาทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่เสียเวลาไปเรียนหนังสือ ไม่คิดที่จะพัฒนาตนเองให้มีการงานที่มั่นคง

เนื่องเพราะว่าการงานมั่นคงขนาดไหน ก็สู้ขอทานกับคณะคนไทยไม่ได้ ซึ่งเมื่อได้ยินรายได้ของเขาแล้วก็ไม่แปลกใจเลย เนื่องเพราะว่าคนไทยใจดี ใจอ่อน มักจะหลงคารมอยู่เสมอ ในคณะของเราก็มี "มหารานี" หลายคน ที่เผลอเมื่อไรก็ยัดเงินให้กับเด็ก ๆ ทันที ยังโชคดีที่ว่ามือไว ถ้าขืนช้าให้เด็กคนอื่นเห็นเมื่อไร มีหวังโดนรุมตายแน่นอน..!

ดังนั้น..
ในเรื่องของขอทาน ไม่ว่าในอินเดียหรือเนปาล ถ้าหากว่าเราไปให้เขา เท่ากับส่งเสริมให้เขาขี้เกียจ ไม่ศึกษาเล่าเรียน ไม่คิดจะหาวิชาความรู้มาพัฒนาตนเองและครอบครัว แล้วจะไปพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าได้อย่างไร ? ดังนั้น..การวางอุเบกขาจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และเป็นการใช้หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรงกาลเทศะที่สุด

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา