เสร็จแล้วก็ขึ้นรถเพื่อที่จะตรงไปยังลุมพินีสถาน ซึ่งเป็นที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่รถของเราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ ๒๕ นาที คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานคณะกรรมการบริษัทเอ็นซีทัวร์ ซึ่งงวดนี้ขอมาเป็นลูกทัวร์ด้วย ทำการโฆษณาหนังสือ ๒ เล่ม ที่ใช้สำหรับแจกในงานศพตัวเอง..!
กระผม/อาตมภาพได้อ่านเล่มแรกไปแล้ว กำลังรออยู่ว่าเล่ม ๒ เมื่อไรจะออก ปรากฏว่าพิมพ์มาเป็นเล่มเรียบร้อยแล้ว ต้องบอกว่าถ้ามีเวลาต้องรีบอ่าน เนื่องเพราะว่าประสบการณ์ของคนอายุ ๘๐ กว่าปี ทั้งการดำรงชีวิตครอบครัว ทั้งการทำหน้าที่การงาน ฝ่าฟันกันมาลักษณะไหน จึงประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
เมื่อถึงทางด้านวัดไทยลุมพินี พวกเราก็ไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ไปนั่งสามล้ออินเดียที่เรียกว่า "ริกชอร์" ที่ปกติแล้วนั่งกันคันละ ๔ คน แต่คันของกระผม/อาตมภาพนั้นนั่งไป ๕ รูป/คน..! เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพไปนั่งคู่กับคนขับ อาศัยว่าตัวเล็กไม่เกะกะ คนขับก็เลยไม่ว่าอะไร แต่ลืมไปว่ารถต้องวิ่งฝ่าความหนาวระดับ ๑๑ องศาเซลเซียส เล่นเอาสะท้านไปเหมือนกัน..! รถวิ่งเข้าไปในอุทยานลุมพินีค่อนข้างจะลึกมาก จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่จอด แล้วก็ต้องเดินเข้าไปอีกเป็นระยะทางไกลทีเดียว ต้องผ่านบรรดาสวาวานรบริวารของพระรามจำนวนมาก ซึ่งออกมาจับเห็บจับเหากัน หลายตัวก็จ้องดูว่านักท่องเที่ยวจะมีอาหารให้หรือเปล่า ?
เมื่อพวกเรามาถึงบริเวณทางด้านหน้า ซึ่งมีดวงไฟที่จุดมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยประมาณ ยังไม่เคยดับเลย เรียกกันว่า "เปลวไฟแห่งสันติภาพ" เมื่อหันไปทางซ้ายก็จะเห็นพระพุทธเจ้าปางประสูติ ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่แต่ไกล พวกเราที่ทยอยกันมาถึง เข้าไปฟังคำบรรยายว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แต่ว่าทำไม่สำเร็จ เนื่องเพราะว่าไปสั่งหินแกรนิตจากประเทศจีนมาทำฐาน ซึ่งทางด้านอินเดียนั้นไม่ชอบใจ เนื่องจากมีการกระทบกระทั่งกับจีน จนกระทั่งต้องมาปรึกษาพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรโพธิวงศ์ ท่านแนะนำว่าให้สั่งจากประเทศไทย เท่านั้นแหละ งานทุกอย่างก็สำเร็จลงด้วยดี..!
เมื่อฟังบรรยายและถ่ายรูปหมู่แล้ว ต้องเดินเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลเข้าไป แล้วก็เลี้ยวขวาเอารองเท้าไปฝากไว้ก่อน ใครที่มีถุงสวมเท้าที่ยังไม่ได้ทิ้งจากวันก่อนที่พุทธคยา ก็เอามาสวมกันใหม่ตรงนี้เอง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปข้างในจนถึง "วิหารมหามายาเทวี" ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:27
|