ดังนั้น..ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะศึกษาในเรื่องของบาลี เรื่องของนักธรรม หรือว่าเรียนปริยัติสามัญ ปริญญาต่าง ๆ ก็ตาม เราจะลืมไม่ได้เลยว่าเราอยู่ในฐานะของนักบวช ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นเรื่องหลักที่เราจำต้องศึกษา อย่างอื่นเป็นเพียงส่วนประกอบที่เข้ามาเสริมเท่านั้น
ถ้าเราศึกษาดีในไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา แล้วมีความละอายชั่ว กลัวบาป ละในสิ่งที่ควรละ เว้นในสิ่งที่ควรเว้น ถ้าแบบนี้จึงสมควรที่จะเป็นนักบวช หรือว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้เรียนจบปริญญาเอกมากี่ใบ ถึงเวลาทำผิด เราก็โยนให้คนอื่น แทนที่จะพิจารณาว่าตนเองผิดพลาดอย่างไรแล้วแก้ไข ถ้าอย่างนั้น ท่านเรียนไปเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าเรียนแล้วไม่สามารถขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้นได้
หลายคนก็อยู่ในลักษณะแบบนี้ ก็คือวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำ สิ่งที่ตนเองพูด สิ่งที่ตนเองคิด ทำให้บุคคลอื่นเขารังเกียจขนาดไหน ?! ในเมื่อไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตนเองได้ อาศัยความรักตนเองในทางที่ผิด เกิดอะไรขึ้นก็โยนให้คนอื่น ไม่เคยมองว่าตนเองผิดเลย
ถ้าบุคคลประเภทนี้ภาษิตจีนเขาใช้คำว่า "ขุนเขาแมกไม้พอแก้ไข สันดานแท้ยากกลับกลาย" พูดง่าย ๆ ก็คือชินจนเป็นสันดานในด้านเลวไปแล้ว อยู่ที่ไหนก็มีแต่จะสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับคนอื่น
เราท่านทั้งหลายต้องระมัดระวัง อย่าทำตัวเป็นเม่น ต่อให้เม่นมีความรักความเมตตาสัตว์อื่น แต่ถ้าเบียดเข้าไปหาเมื่อไร ขนแหลมก็จะทิ่มแทงเขา ดังนั้น..ถ้าเรารู้จักรักตัวเอง ก็ต้องดูที่ตัว แก้ที่ตัว เราจะไปดูคนอื่นไม่ได้ เพราะเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลก โลกหนักเกินกว่าที่เราจะแบกไหว ดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง จบที่ตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่ควรทำที่สุด
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-12-2025 เมื่อ 10:47
|