ดังนั้น..ถ้าหากว่าฐานะบัณฑิตในทางธรรม ก็ต้องเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่เสมอว่า เราทำอะไร เพื่ออะไร ก็แปลว่าเราท่านทั้งหลาย ถ้าเรียนจบไปแล้วยิ่งอยู่ยากกว่าปกติ เพราะกลายเป็นบุคคลที่คนอื่นเขาสรรเสริญ ว่าเป็นผู้รู้ในเรื่องนั้น ๆ เราจะปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง ชักจูงเราเหมือนเดิมไม่ได้ เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นบัณฑิตในทางธรรม ก็คือผู้ที่รู้เท่าทันกิเลส หักห้ามใจตนเองไม่ทำตามกิเลส คือความต้องการเฉพาะตัว และพยายามที่จะลด ละ เลิก ในสิ่งที่ชักจูงเราไปในทางต่ำอยู่เสมอ
การเรียนจบทางโลกจึงไม่ใช่การเรียนจบแล้วจบเลย แต่ต้องนำเอาความรู้นั้นมาก่อประโยชน์ให้แก่ตนเอง และหน่วยงานมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะตกอยู่ในลักษณะของอลคัททูปมปริยัติ ก็คือการเรียนแบบจับงูข้างหาง มีสิทธิ์ที่จะโดนงูกัด บาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอน..! เนื่องเพราะว่าถ้าเราเอาความรู้ไปทำสิ่งที่ชั่ว เราก็จะชั่วได้เนียนกว่าเดิม แต่ท้ายที่สุด ผลชั่วนั้นก็จะส่งผลให้เราเดือดร้อนในภายหลังจนได้..!
บัณฑิตที่แท้จริงจึงต้องเป็นบุคคลที่ละชั่วทำดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะการพยายามรักษากำลังใจของตนให้มั่นคง ไม่ไหลไปตามกระแสกิเลส
การฉลองปริญญาบัตรซึ่งเป็นการแสดงความยินดีกันแบบโลก ๆ ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ดีใจและชื่นใจชั่วครั้งชั่วคราว ภาระใหญ่หลวงที่รอเราอยู่ข้างหน้า ก็คือ ทำตนอย่างไรจึงจะสมกับความเป็นบัณฑิต เป็นเรื่องที่เราต้องมีสำนึก ต้องระลึกรู้อยู่เสมอ
โดยเฉพาะการเป็นนักบวช เราจะเว้นจากศีลไม่ได้เลย เพราะว่าศีลคือรากแก้วของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าต้นไม้ไม่มีรากก็อยู่ไม่ได้ บุคคลไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาส ถ้าปราศจากศีลก็เป็นคนหลักลอย ไม่มีสิ่งให้ยึดถือและปฏิบัติ โดยเฉพาะไม่มีสิ่งที่เราปฏิบัติแล้วยก กาย วาจา ใจ ของตนให้สูงขึ้นได้
ดังนั้น..จึงมีบาลีที่ว่า สีลํ โลเก อนุตฺตรํ ศีลเป็นเยี่ยมที่สุดในโลก เพราะว่าสามารถพัฒนา กาย วาจา ใจ ของปุถุชน ให้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นกัลยาณชน และท้ายที่สุดก็พัฒนาตนจนถึงอริยชน แล้วยังเป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานอีกด้วย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-12-2025 เมื่อ 10:45
|