ดังนั้น..ในส่วนนี้จึงต้องยกขึ้นมากล่าวว่า แม้ว่าการปฏิบัติธรรมของบุคคลที่เข้ามาบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติกับทางวัดท่าขนุน ผลจะยังไม่ได้อย่างที่กระผม/อาตมภาพต้องการก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ คุณงามความดีที่ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติ ก็ครบถ้วนทั้งศีล ทั้งสมาธิ และทั้งปัญญา คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น จะขยันหมั่นเพียรสักเท่าไร แต่ถ้าทำตัวเหมือนกับปัจจุบัน ที่ทำตัวเป็นลูกนก รอพ่อแม่คอยป้อนเหยื่อให้ สักวันหนึ่งพ่อนกแม่นกโดนล่าหรือตายไป ก็มีโอกาสอดตายแน่นอน..!
อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนั้น ต่อให้คนเป็นร้อยเป็นพัน ส่วนใหญ่แล้วพระองค์ท่านจะมุ่งเฉพาะจุด หรือว่าเฉพาะบุคคล จึงเป็นตัวอย่างที่เราท่านทั้งหลาย จะต้องจดจำเอาไว้เป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ ก็คือขยันหมั่นเพียร พร่ำสอนในลักษณะอนุสาสนี ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ กันทุกครั้งไป จะเบื่อจะหน่ายไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่า "หนึ่งเดียวนั้น" จะมาเมื่อไร ?!
ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพิจารณาอุปนิสัยสัตว์โลก พระองค์ท่านรู้ว่าจะต้องโปรดผู้ใด โปรดแล้วได้ผลอย่างไร พวกเราจึงอยู่ในลักษณะ "เหวี่ยงแห" ท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาล ไม่แน่ใจว่าปลาตัวที่ต้องการจะมาติดแหเมื่อไร จึงต้องกลายเป็นคนขยัน เหวี่ยงแล้วเหวี่ยงอีก จะเบื่อจะหน่ายไม่ได้เลย
โดยเฉพาะต้องสอนตัวเองให้ได้ก่อน ก็คือขัดเกลากาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าสอนออกนอกแนวพระไตรปิฎก หรือวิสุทธิมรรค ทำตัวเป็นพระสุธรรมเถร หรือเถรใบลานเปล่าก็ยังดี ก็คือสอนถูก ลูกศิษย์ได้ผล ส่วนตัวเราไม่ได้ผลก็ช่าง แต่อย่าไปทำลายธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการใช้ "อัตโนมติ" คือความคิดเห็นส่วนตัวในการตีความเอาเอง
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:42
|