ปัจจุบันนี้มีหลายต่อหลายสำนักที่เก่งเกินพระพุทธเจ้า..! เราต้องยกให้กับท่าน อย่าไปยุ่งกับท่านเลย ในเมื่อพระพุทธเจ้ากำหนดแนวทางที่พระองค์ท่านเห็นว่าเหมาะสมที่สุด และเป็นแนวทางเดียวที่จะนำพาให้เราหลุดพ้นได้ แต่เรากลับไปฟังพระบ้าง แม่ชีบ้าง ฆราวาสบ้าง สอนว่าอย่างโน้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ตกนรก ทำอย่างนั้นก็โง่ แสดงว่าไอ้คนสอนกำลังด่าพระพุทธเจ้าอยู่..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าท่านมีสติปัญญาพอ พิจารณาดูแล้วก็รู้แล้วว่าสำนักนั้น "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" คำว่า "ใช่" ในที่นี้ ก็คือสอนได้ถูกต้องตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าแต่ละรูป แต่ละท่าน ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ "อัตโนมติ" ของตน
อย่างเช่นมีสำนักหนึ่งที่อวดว่าตนเองเคร่งครัดในการปฏิบัติมาก เดินทางไปไหนไม่ใส่รองเท้า ใครถวายปัจจัยไม่รับ ตัวเจ้าสำนักท่านอ้างว่า ท่านบรรลุธรรมในขณะกำลังปัสสาวะ..! ก็คือกำลังปล่อยเบาอยู่ รู้สึกว่าโลกนี้สว่างไปทั้งหมด แล้วท่านมั่นใจว่าตนเองบรรลุแล้ว จึงสอนลูกศิษย์ผิด ๆ ถึงขนาดไม่เอาหลัก ไม่เอาเกณฑ์ บวชให้ลูกศิษย์ด้วยตนเอง ไม่ได้สนใจว่าตนเองได้ผ่านการอบรมพระอุปัชฌาย์มาหรือเปล่า..!?
ถ้าท่านที่ศึกษาข้อธรรมมาบ้างก็จะรู้ ว่านั่นเป็นแค่อุปกิเลส ก็คือโอภาสเท่านั้นเอง คำว่าอุปกิเลสจริง ๆ เกิดขึ้นแล้วไม่เป็นกิเลส คำว่า อุป (อุ-ปะ) แปลว่า ใกล้ชิด ใกล้จะเป็นกิเลส แต่ถ้าจัดการผิดเมื่อไร จะเป็นกิเลสทันที ก็คือเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าดีแล้ว ใช่แล้ว เหล่านั้นเป็นต้น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันจะก้าวขึ้นอนุบาล ๑ แต่ไปมั่นใจว่าจบปริญญาเอกแล้ว..!
ท่านทั้งหลายไปศึกษาเอาเองว่าอุปกิเลสมีอะไรบ้าง ไล่ไปตั้งแต่หยาบถึงละเอียด อย่างเช่นว่าโอภาส เกิดแสงสว่างขึ้น ปีติ มีอาการซาบซ่านอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ อย่าง
ปัสสัทธิ เกิดความสงบระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ดับลงชั่วคราว เหล่านี้เป็นต้น
ไปจนถึงนิกันติ ความอยากได้ใคร่มีแทบจะไม่ปรากฏเลย แล้วก็หลงว่าเป็นการบรรลุมรรคผล ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่กำลังสมาธิเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลายเท่านั้น..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:24
|