ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า เมื่อวานนี้, 00:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,535
ได้ให้อนุโมทนา: 160,767
ได้รับอนุโมทนา 4,520,751 ครั้ง ใน 37,150 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ไม่ว่าจะเป็นพระใหม่ของเราก็ดี ญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมก็ตาม ต้องคำนึงอยู่เสมอว่า วันคืนล่วงไป ล่วงไป เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ หลายท่านครูบาอาจารย์มรณภาพไปแล้ว มรณภาพไปอีก แต่เราก็ไม่สามารถที่จะเอาดีได้ เนื่องเพราะว่าเป็นผู้ประมาทอยู่เสมอ ควรที่จะรู้สึกตัวได้แล้วว่า เราเป็นผู้ที่ใช้โอกาสเปลืองมาก..!

พระใหม่หลายรูปกว่าจะมาบวชที่วัดท่าขนุน ก็ตระเวนไปเสียทั่วประเทศไทยแล้ว..! บางแห่งก็รู้สึกว่าเคร่งครัดเกินไปสำหรับตัวเอง บางแห่งก็รู้สึกว่าหย่อนยาน ไม่ถูกใจตนเอง เหล่านี้เป็นต้น แต่พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะพระหรือว่าฆราวาสก็ตาม เราต้องรู้ว่า
แต่ละสถานที่ แต่ละองค์กร มีวัฒนธรรมองค์กร หรือระเบียบของสถานที่ ซึ่งคอยควบคุมคนหมู่มากอยู่ เราจะมาทำตัวเป็น "ควายหลุดคอก" อยู่คนเดียวไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเราไปที่ไหนก็เข้าสังคมกับเขาไม่ได้ เนื่องเพราะว่าเราประพฤติผิดในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าระเบียบก็ดี วินัยก็ดี ก็คือศีลนั่นเอง พระพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ซึ่งถ้ากระจายออกก็คือมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นหนทางเดียวจะนำพาเราให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ ดังนั้น..ถ้าใครจะมาอ้างว่าไปวัดโน้นไม่เห็นมีระเบียบ ไปวัดนี้ไม่เห็นต้องสวดมนต์ ไปวัดนั้นไม่เห็นต้องบิณฑบาต มึงก็ไปอยู่ที่นั่นซะ..! เนื่องเพราะว่าระเบียบวินัยก็คือสิ่งที่ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราในเบื้องต้น ให้ควรแก่งาน ก็คือแนวปฏิบัติเบื้องสูงขึ้นไป ได้แก่สมาธิ แล้วต่อด้วยปัญญา

สำนักไหนที่บอกว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ก็ช่างหัวมัน..! พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าให้สาธยายมนต์ ก็คือสวดมนต์
เนื่องเพราะว่าบุคคลสามารถบรรลุมรรคผลในระหว่างสวดมนต์ได้ นี่เป็นหนึ่งในแนวทางบรรลุมรรคผลที่พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ชัดเจนที่สุด

เพราะว่าขณะที่เราสวดมนต์ จิตจะเป็นสมาธิ ถ้าปัญญามีพอ พิจารณาไปก็จะเห็นความไม่เที่ยงในการสวดมนต์ ก็คือพอเราหยุด เสียงก็ขาดหายไป ความเป็นทุกข์ในการสวดมนต์ จะคุกเข่าก็ดี จะพับเพียบก็ตาม ย่อมปวด ย่อมเมื่อย สวดมนต์นาน ๆ ก็เหนื่อย และท้ายที่สุด ตัวเราที่เพียรพยายามทำความดีขนาดนี้ ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น เราจึงควรที่จะตั้งเป้าว่าจะต้องหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็คือเข้าสู่พระนิพพานให้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา