อีกส่วนหนึ่งก็คือการอุปสมบทเข้ามานั้น การบวชไม่ใช่เรื่องยาก แต่บวชแล้วจะอยู่ให้เป็นพระนั้นยากมาก เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำตามความเคยชินสมัยฆราวาส ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เป็นเรื่องที่อึดอัดขัดใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านที่ตั้งใจจะบวชแล้วเอาดีให้ได้ บางทีแต่ละวันเหมือนอย่างกับผ่านไปเป็นปี แต่เราก็ต้องอดทนสู้ไป เนื่องเพราะว่าการบวชก็คือการถือเนกขัมมบารมี คำว่าเนกขัมมะคือละจากกาม ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งหมด ก็แปลว่าสิ่งใดที่เราชอบและเคยทำก็จะทำไม่ได้แล้ว
ศีลของพระมีอะไรต้องเร่งศึกษาเข้าไว้ พยายามทบทวนอยู่ทุกวันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ว่าเราสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติได้สมบูรณ์หรือไม่ ? ส่วนไหนสงสัยข้องใจให้ไต่ถามจากพระพี่เลี้ยง อย่าตีความด้วยตนเอง เพราะว่าอาจจะผิดได้ เนื่องจากว่าศีลพระบางข้อนั้น ผิดแล้วเราไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะว่าจะขาดจากความเป็นพระไปเลย..!
อย่างเช่นว่าการหยิบสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ตามที่ท่านอรรถาธิบายไว้ก็คือเคลื่อนออกจากที่แค่ ๑/๑๖ ของเส้นผม แปลว่าการกระทำนั้นสำเร็จ..! ก็คือขาดจากความเป็นพระไปตอนนั้นเอง ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสิน จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง
เนื่องจากว่าอาบัติปาราชิกนั้น ถ้าโดนเข้าไปแล้วก็หมดอนาคต ในบาลีท่านบอกว่า "เปรียบเหมือนกับตาลยอดด้วน" คือไม่สามารถที่จะเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาได้อีกต่อไป หรือ "เปรียบเหมือนกระเบื้องที่แตกอยู่ปากบ่อ" ก็คือไม่สามารถที่จะใช้งานได้อีก
คำว่า "กระเบื้อง" ในที่นี้อย่าไปนึกถึงกระเบื้องมุงหลังคา คำว่ากระเบื้องที่แปลจากภาษาบาลีก็คือถ้วยชามเคลือบ ซึ่งสมัยก่อนก็คือเครื่องปั้นดินเผาต่าง ๆ นั่นเอง ดังนั้น..ถ้าอ่านเจอในบาลีว่า "ถือกระเบื้องแตกไปขอทาน" ไม่ได้ถือกระเบื้องมุงหลังคา แต่ก็คือถือถ้วยชามแตก ๆ บิ่น ๆ ไปขออาหารจากคนอื่นเขา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:09
|