เรื่องที่ ๒ คือฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌาน ทรงสมาบัติ ถ้าเราทำไม่ได้ ไม่มีทางที่จะจินตนาการถึงว่าทำไมท่านถึงผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ได้พิลึกพิลั่นอัศจรรย์ขนาดนั้น ?!
เรื่องที่ ๓ กรรมวิบาก การส่งผลของกรรม เราทำอะไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น จนกระทั่งบางทีก็คิดไม่ถึงว่า แค่ความคิดหรือคำพูดก็ส่งผลต่อชาติต่อไปแล้ว อย่างเช่นบุคคลที่เกิดมาตัวติดกันแบบแฝดสยาม หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเมตตาบอกว่า "เกิดจากที่ชาติก่อนอธิษฐานว่า เกิดมาแล้วจะไม่พรากจากกัน..!"
เรื่องสุดท้ายคือโลกจินไตย ความเป็นไปของโลก คำว่าโลกในที่นี้ ไม่ใช่แค่โลกของเราเท่านั้น แต่ก็คืออวกาศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกก็ดี ระบบสุริยะจักรวาลก็ตาม ตลอดจนกระทั่งไปถึงเนบิวลา กาแล็กซี่ ยูนิเวิร์สต่าง ๆ ทำไมก่อเกิดขึ้นมาได้ ? พระองค์ท่านตรัสว่า "ผู้ที่คิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า..!" บาลีท่านใช้คำว่า "อุมฺมตฺตกภาโค"
อย่างที่นักเรียนบาลีหลายคนโดยรุ่นพี่เขาหลอก ให้ท่องพระคาถาเพื่อเรียนบาลีเก่ง ทุกวันต้องตื่นขึ้นมาล้างหน้าก่อนอีกาบินผ่านน้ำ ก็แปลว่าต้องตื่นแต่เช้ามืด เนื่องเพราะว่าใกล้อรุณ อีกาก็ออกหากินแล้ว ตักน้ำมาแล้วก็ภาวนาว่า "อหํ อุมฺมตฺตโก โหมิ" ล้างหน้าทุกวันแล้วจะเรียนบาลีเก่ง แล้วก็ต้องเก่งจริง ๆ เพราะไปแปลได้ทีหลังว่า "ขอให้กูเข้าถึงความเป็นบ้า..!"
ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าเราพยายามจะเอาความรู้ทางโลก ๆ มาอธิบาย ก็เสียเวลาเปล่า ฟังแล้วก็ต้องใช้คำว่า สมัยนี้เขาใช้คำว่าอะไร ? ใช้คำว่า "ไม่เก็ท" "ไม่เมกเซ้นท์" ใช่ไหม ? เพราะว่าเขาอธิบายตามความรู้ในลักษณะอนุมานเอาบ้าง ตามตรรกะบ้าง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้แล้วว่าอย่าพึงเชื่อ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2025 เมื่อ 00:07
|