ถ้าท่านทั้งหลายเคยไปวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร จะเห็นสิ่งที่หลวงปู่สมเด็จพระสังฆราช (ญาโณทยมหาเถร) ท่านได้กล่าวเอาไว้ แล้วทางวัดนำมาติดเอาไว้ที่ซุ้มประตูทางออกว่า "บุญเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตราบนั้นเรายังต้องทำบุญ เพราะว่าบุญนั้นให้ผลในด้านดีอย่างเดียว"
ก็คือถ้าหากว่าเราเป็นผู้ไม่ประมาท รู้จักสร้างบุญสร้างกุศล ก็จะทำให้เรามีความรุ่งเรืองในชีวิตไปเรื่อย ไม่เหมือนกับบางคนที่บุญเก่าทำไว้ดี เกิดมาชาตินี้มีฐานะร่ำรวย มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต แต่ไม่รู้จักต่อบุญ ถ้าลักษณะอย่างนั้น บุญหมดเมื่อไร เวรกรรมทั้งหลายก็จะประเดประดังมาหา ถ้าเป็นแบบนั้น ถึงเวลาก็โทษใครไม่ได้..!
พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภท
ประเภทที่ ๑ ตโม ตมปรายโน เป็นผู้ที่มืดมาแล้วมืดไป ณ เบื้องหน้า คือเป็นบุคคลที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม เกิดมาก็ไม่รู้จักให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตายไปก็ลงทุคติวินิบาตคือนรก..!
ประเภทที่ ๒ ก็คือ ตโม โชติปรายโน เป็นผู้ที่มืดมา แต่สว่างไป ณ เบื้องหน้า มาจากบุคคลไร้ศีลไร้ธรรม แต่ว่าเปลี่ยนมาปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา จนกระทั่งทางชีวิตสว่างแจ่มใส กลายเป็นได้ดีต่อไปในภายหน้า
บุคคลประเภทที่ ๓ น่าสงสารมาก โชติ ตมปรายโน สว่างมา แต่มืดไป ณ เบื้องหน้า ก็คือบุคคลที่เราเห็นกันอยู่ว่าปัจจุบันนี้ร่ำรวย มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต แต่ไม่รู้จักสร้างบุญสร้างกุศล ได้แต่โกงกินคอรัปชั่นสารพัด ลักษณะอย่างนี้ย่อมมืดไปในเบื้องหน้า..!
บุคคลที่น่าสรรเสริญอีกประเภทหนึ่งก็คือประเภทสุดท้าย โชติ โชติปรายโน สว่างมาแล้วสว่างไป ณ เบื้องหน้า ก็คือเป็นบุคคลที่รักษาความดีได้สม่ำเสมอ
จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายจะต้องเลือกเอา ถ้าเรามืดมา ก็ต้องสว่างไปในเบื้องหน้า ถ้าเราสว่างมาแล้ว ก็ต้องสว่างยิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:23
|