ดังนั้น..เราต้องตระหนักอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราเหมือนกับอยู่บนเรือนที่กำลังไฟไหม้ ต้องเร่งหนีไปให้เร็วที่สุด ไม่ใช่นอนเพลินรอไฟไหม้ตาย..!
ก็แปลว่าทุกครั้งที่มีการปฏิบัติธรรม จะต้องมานั่งรอ ไม่ใช่หลวงพ่อคุยไปครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยโผล่มา "ทำไมหลวงพ่อรีบมาจังเลย หนูไม่ทันได้ฟัง" น่าโบกให้คว่ำ..! ไม่ทำอะไรให้เร็วกว่านั้นหน่อยล่ะ อาตมภาพอายุ ๖๗ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น..ใครอายุน้อยกว่านี้ แล้วจะมาอ้างว่าช้าเพราะแก่นี่ไม่ต้องอ้างเลยนะ..!
พวกเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มบารมี..คือความเข้มข้นของกำลังใจของเรา
ตัวแรกเลยคือ ปัญญาบารมี ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษจริง ๆ รู้จักเข็ดรู้จักกลัว ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า ภะยะทัสสาวี ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร
จะต้องมีวิริยบารมี พากเพียรไม่ท้อถอย ทำเต็มที่ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อความสำเร็จ
ต้องมีขันติบารมี อดกลั้นอดทน ไม่ได้ไม่เลิก
ต้องมีสัจบารมี จริงจังจริงใจ ยากแค่ไหนก็ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่ประสบความสำเร็จ
มีผู้รู้ท่านเปรียบว่า เหมือนพวกเราโดนขังอยู่ในคุกใหญ่ กำแพงคุกหนาเท่ากันทุกจุด แต่เราเจาะ ๆ ๆ ไปได้ ๑ - ๒ เมตร แล้วไม่ทะลุสักที คิดว่าน่าจะมีที่บางกว่านี้ แล้วก็ขยับไปเจาะที่ใหม่ เจาะไปได้สักศอกสักคืบ ไม่น่าใช่ ไปตรงโน้นดีกว่า
สรุปก็คือบางคนเข้าสำนักปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบสำนักแล้ว ยังเอาดีไม่ได้เลย เปลี่ยนบ่อยเกินไป จิตเรามีสภาพจำ พอเริ่มจำวิธีการต่าง ๆ ของสำนักโน้นได้ เคยชิน เริ่มทำได้อัตโนมัติ เราเปลี่ยนอีกแล้ว..! ก็ต้องมาเริ่มจำใหม่ จำเยอะไป คราวนี้สับสน เดี๋ยวก็ปนกันมั่วไปหมดระหว่างของใหม่กับของเก่า แล้วยิ่งเอาดียากเข้าไปอีก ดังนั้น..เราหยิบจับอะไรขึ้นมาแล้วต้องทำให้ถึงที่สุดไปเลย ถึงจะย้ายไปทำของใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่ต้องไปหวัง
เดี๋ยวพวกเราสมาทานพระกรรมฐานแล้วเข้าสู่การปฏิบัติธรรมกันต่อไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2025 เมื่อ 04:23
|