บางคนก็สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าตรัสอริยสัจ ๔ กลับหัวกลับหางกัน ? ก็เพราะว่าพระองค์ตรัสตามสภาพจิตของเราที่พบเจอ ก็คือพอเกิดทุกข์ขึ้น ปัญญาคนยังไม่พอที่จะมองอย่างอื่น ก็ไปเครียดไปคลุ้มคลั่ง "ทุกข์ฉิบหายเลยโว้ย..!" พอทุกข์มาก ๆ เข้าปัญญาเริ่มทำงาน ก็จะมองว่าทำไมเราถึงทุกข์ ? เครียดอยู่ตั้งสามวัน เครียดเพราะอะไร ? อ๋อ..ซื้อทองไม่ทัน..ราคาขึ้นไปสูงมาก..! สาเหตุมาจากตรงนี้เอง
พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงตามสภาพจิตใจของคนตอนนั้น เจอทุกข์ กลัดกลุ้มอยู่กับทุกข์ ประเภทเจ็บแล้วเจ็บอีก เจ็บจนเริ่มจะเข็ด ก็ชักจะใช้ปัญญาเป็น จึงค่อยมามองว่าทุกข์เกิดจากอะไร ? ถึงได้รู้สมุทัยตามมา คราวนี้เปะปะไปมาอยู่ ๒ วัน ๓ วัน อยู่ ๆ ความทุกข์หายไปเฉย ๆ นิโรธคือการดับทุกข์จึงเกิดขึ้น เออ..สบาย..ก่อนหน้านี้แบกแทบตาย..!
อยู่บ้านก็เป็นทาสหมา เป็นทาสแมว เลี้ยงอยู่ทุกวัน ถึงเวลาก็ต้องมาคิดแล้วว่า วันนี้เลี้ยงหรือยัง ? จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า ? เราไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนสามวัน ทิ้งอาหารทิ้งน้ำไว้ให้พอไหม ? จะอยู่กันได้ไหม ? กลับไปบ้านจะเละแค่ไหน ? เครียดอยู่ตั้งหลายวัน ท้ายที่สุดก็..ช่างหัวมันเถอะ..ปฏิบัติธรรมดีกว่า..! ที่เครียดอยู่หายไปตอนไหนหว่า ?
ก็เลยเริ่มคิดหาทาง เอ๊ะ..ทำไมอยู่ ๆ หายเครียด ? ความทุกข์ที่แบกเอาไว้ตัดไปตอนไหน ? อ๋อ..ดับไปตอนเราเลิกแบก แค่วางลงก็เบาแล้ว..! ที่เขาบอกว่า "โลกมีไว้ให้เหยียบ ไม่ได้มีไว้ให้แบก" เราไปแบกอยู่เสียนาน พอวางลงก็เลยหายทุกข์ มรรคคือหนทางแห่งความดับทุกข์ เกิดขึ้นเพราะเราเห็นแล้วว่า ถ้าปล่อยวาง ความทุกข์ก็จะสิ้นสุด หรือหายไปเอง
ดังนั้น..พระพุทธเจ้าตรัสถึงอริยสัจ ๔ จึงเหมือนอย่างกับกลับหัวกลับหาง กล่าวถึงทุกข์ขึ้นมาก่อน ทุกข์จนพอ ทุกข์จนเข็ด เริ่มมีปัญญาหาสาเหตุ สมุทัยจึงเกิดขึ้น มั่วไปมั่วมาอยู่ ๓ วัน ๗ วัน บางทีก็หลายสิบปี อยู่ ๆ ทุกข์หายไป อ๋อ..ที่แท้ก่อนหน้านี้ ไอ้นั่นก็ลูก ไอ้นี่ก็ผัว อะไร ๆ ก็ของกู..! ตอนนี้พอแล้วไม่เอาแล้ว โยนทิ้งแล้ว..ไปปฏิบัติธรรมดีกว่า อยู่ ๆ รู้สึกเบาสบายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่แท้ก็ง่าย ๆ แค่นี้เอง แค่วางลงก็จบแล้ว ก็ถึงได้เกิดนิโรธ สบายอยู่พักหนึ่ง แต่พอทุกข์ใหม่ก็เครียดอีก ท้ายที่สุดปัญญาเกิด จึงเห็นว่าที่แท้แค่ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างก็จบลงแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:11
|